เขียนโดย ดิ๊ก เพอร์เนลล์
ดร. เฮนรี่ แบรนดต์ กล่าวไว้ในนิตยสารชื่อ The Collegiate Challenge ว่า มันเป็นอาการของโรคอย่างหนึ่ง เป็นรูปแบบที่คู่รักที่อยู่ด้วยกันจะมาพบเขา แล้วพูดว่า “ตอนแรกความสัมพันธ์ทางเพศก็น่าตื่นเต้นดีอยู่หรอก ต่อมาผมเริ่ม รู้สึกแปลกๆเกี่ยวกับตัวผมเอง และต่อมาก็เกี่ยวกับคู่ของผม เราทะเลาะกัน และทุ่มเถียงต่อสู้กันและสุดท้ายเราก็เลิกกัน ตอนนี้ เราเป็นศัตรูกัน”
อาการอย่างนี้ผมเรียกมันว่า เช้าวันใหม่หลังจากเกิดอาการของโรค เราตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าความสนิทสนมลึกซึ้ง ไม่ได้อยู่ที่นั่น ความสัมพันธ์ทางเพศไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราพึงพอใจอีกต่อไป และผลที่เกิดขึ้นตอนสุดท้ายนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการให้มันเกิดขึ้นจริงๆในตอนแรก สิ่งที่เรามีก็คือ คนสองคนที่มีตนเองเป็นศูนย์กลางและแสวงหาความพึงพอใจให้กับตัวเอง องค์ประกอบของความรักที่แท้จริงและความสนิทสนมลึกซึ้งไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่าง”สำเร็จรูป” และคุณพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่ไม่สมดุล กำลังมองหาการประสานกลมกลืนกัน
เราแต่ละคนมีห้าด้านที่สำคัญในชีวิตของเรา คือ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ความรู้สึก ด้านความคิด ด้านสังคม และด้านจิตวิญญาณ ทั้งห้าด้านนี้ได้รับการออกแบบมา เพื่อที่จะทำงานร่วมกันอย่างประสานกลมกลืน ในการแสวงหาความสนิทสนมลึกซึ้งนั้น เราต้องการทางแก้ไขเดี๋ยวนี้ หรือตั้งแต่เมื่อวานนี้ ปัญหาหนึ่งของเราคือ เราต้องการความพึงพอใจแบบ “สำเร็จรูป” เมื่อความต้องการความสนิทสนมลึกซึ้งไม่ได้รับการตอบสนอง เราก็มองหาทางแก้ไข “สำเร็จรูป” เรามองหาที่ไหนกัน? ด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา ด้านสังคม ด้านอารมณ์ความรู้สึก หรือด้านจิตวิญญาณ? มันง่ายกว่าที่จะมีความสนิทสนมลึกซึ้งทางด้านร่างกายกับใครบางคน แทนที่จะเป็นสนิทสนมลึกซึ้งในด้านใดด้านหนึ่งของสี่ด้านที่เหลือ คุณสามารถที่จะมีความสนิทสนมลึกซึ้งทางร่างกายกับเพศตรงข้ามได้ ภายในเวลาชั่วโมงเดียวหรือแค่ครึ่งชั่วโมง มันขึ้นอยู่กับแรงกระตุ้นภายใน แต่คุณจะค้นพบในเวลาอันรวดเร็วว่า ความสัมพันธ์ทางเพศอาจจะเป็นแค่การปลดปล่อยเพียงชั่วคราว ของความต้องการแบบผิวเผินเท่านั้น มันยังคงมีความต้องการลึกๆข้างในที่ยังคงไม่ได้รับการตอบสนอง
แล้วคุณจะทำอย่างไรเล่า เมื่อความเร้าใจนั้นจืดจางลง และยิ่งคุณมีความสัมพันธ์ทางเพศมากเท่าไหร่ คุณกลับยิ่งชอบมันน้อยลงเท่านั้น? เราให้เหตุผลโดยการพูดว่า “เรามีความรัก ไม่ใช่สิ ผมหมายความว่า มีความรักจริงๆนะ” แต่เราก็ยังพบว่าเรามีความรู้สึกผิด และไม่มีความพึงพอใจ ในมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วอเมริกา ผมพบว่า มีทั้งชายและหญิงที่กำลังแสวงหาความสนิทสนมลึกซึ้งอยู่ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ โดยมีความหวังว่า “ครั้งนี้แหละน่าจะใช่ ฉันกำลังจะมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนตลอดไป”
ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราต้องการจริงๆแล้วไม่ใช่ความสัมพันธ์ทางเพศ สิ่งที่เราต้องการจริงๆ คือความสนิทสนมลึกซึ้งต่างหาก
ปัจจุบันนี้ คำว่า ความสนิทสนมลึกซึ้ง ได้รับการตีความหมายในเชิง ของความสัมพันธ์ทางเพศ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีความหมาย มากกว่านั้น มันรวมถึงแง่มุมต่างๆในชีวิตของเรา ถูกแล้ว ทั้งทาง ด้านร่างกาย แต่ก็รวมด้านสังคม ด้านอารมณ์ความรู้สึก ด้านสติปัญญา และทางด้านจิตวิญญาณเอาไว้ด้วย ความสนิทสนมลึกซึ้ง ในความจริง หมายถึง การแบ่งปันชีวิตร่วมกันทั้งหมด เราทุกคนมิใช่หรือ ที่ ณ เวลาใด เวลาหนึ่งมีความปรารถนาว่าจะมีสักครั้ง ที่จะมีความใกล้ชิด มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีการแบ่งปันชีวิตร่วมกันทั้งหมดของเรากับใครบางคน
คุณ มาร์เชิล ฮอดจ์ ได้เขียนหนังสือชื่อว่า Your Fear of Love (ความกลัวของคุณเรื่องความรัก) ในนั้นเขียนว่า “เรารอคอยเวลาที่จะได้แสดงความรัก ความใกล้ชิด และความอ่อนโยนนุ่มนวล แต่บ่อยครั้งทีเดียว ในจุดวิกฤต เรากลับยับยั้งมันเสีย เรากลัวความใกล้ชิด เรากลัวความรัก” ในหนังสือของคุณฮอดจ์ตอนหลัง เขาได้กล่าวว่า “ยิ่งเราเข้าใกล้ใครคนใดคนหนึ่งมากเท่าใด แนวโน้มของความเจ็บปวดก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น” ความกลัวที่จะเจ็บปวดนี่เอง ที่เป็นตัวที่ผลักไสเราบ่อยครั้ง ไม่ให้เราเสาะหาความสนิทสนมลึกซึ้งที่แท้จริง
ผมได้ทำการบรรยายให้แก่นักศึกษาในมหาวิทยาลัย เซาท์เทิร์น อิลลินอยส์ฟัง ครั้งหนึ่ง หลังจากการบรรยายจบลง มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งเข้ามาหาผมแล้วพูดว่า “หนูต้องคุยกับอาจารย์เกี่ยวกับปัญหาของแฟนหนูค่ะ” เรานั่งลง และเธอก็เริ่มเล่าให้ผมฟังถึงปัญหายุ่งยากของเธอ หลังจากนั้นสักพัก เธอได้พูดสิ่งนี้ก็คือ “ตอนนี้หนูได้วางจุดยืนใหม่ว่าหนูจะไม่ยอมเจ็บอีก” ผมได้พูดกับเธอว่า “หรือถ้าพูดอีกอย่างก็คือ คุณมีจุดยืนใหม่คือที่จะไม่มีความรักอีกต่อไป” เธอคิดว่าผมเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดผิดไป เธอก็เลยพูดต่อไปว่า “หนูไม่ได้พูดอย่างนั้นค่ะ หนูแค่ไม่อยากจะเจ็บอีกต่อไป หนูไม่ต้องการความเจ็บปวดในชีวิตของหนู” ผมพูดว่า “นั่นถูกแล้ว คุณไม่ต้องการความรักในชีวิตของคุณไงล่ะ” คุณเห็นไหมว่า “ความรักที่ไม่มีความเจ็บปวด” นั้น ไม่เคยมี ยิ่งเราเข้าใกล้ชิดใครสักคนมากเท่าไหร่ แนวโน้มที่เราจะเจ็บปวดก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ผมจะประมาณเอาว่า คุณ ( และประชากรอีกประมาณ 100 เปอร์เซ็นต์) จะยอมรับว่า คุณเคยมีความเจ็บปวดในความสัมพันธ์มาก่อน คำถามก็คือ คุณจัดการกับความเจ็บปวดนั้นอย่างไร? ในการที่จะปิดบังอำพรางความเจ็บปวด เราหลายคนแสดงสิ่งที่ผมเรียกว่า “สัญลักษณ์สองด้าน” เราจะพูดกับคนอื่นว่า “ฟังนะ ฉันอยากให้คุณมาใกล้ฉันมากกว่านี้ ฉันต้องการที่จะรักและได้รับความรัก... แต่เดี๋ยวก่อน ฉันเคยถูกทำให้เจ็บปวดมาก่อน ไม่นะ ฉันไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว ฉันไม่ต้องการฟังมันแล้ว” เราสร้างกำแพงล้อมรอบตัวเราเพื่อป้องกันคนจากภายนอกที่จะเข้ามาและทำให้เราเจ็บปวด แต่กำแพงอันนี้ซึ่งช่วยกันไม่ให้ผู้อื่นเข้ามา มันก็คือ อันเดียวกันที่ทำให้เราติดอยู่ภายใน ผลของมันน่ะหรือ? ความโดดเดี่ยวอ้างว้างก็เข้ามาแทนที่ และความสนิทสนมลึกซึ้งที่แท้จริงและความรัก กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ความรักเป็นมากกว่าอารมณ์ความรู้สึก และมันมากกว่าแค่ความรู้สึก ที่ดีมาก แต่สังคมของเราได้ทำให้สิ่งที่พระเจ้า เรียกว่า ความรัก ความสัมพันธ์ทางเพศและความสนิทสนมลึกซึ้ง เป็นเพียงแค่อารมณ์ และความรู้สึกเท่านั้น พระเจ้าได้ทรงพรรณาถึงความรักในรายละเอียด ต่างๆในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังสือโครินธ์เล่มที่หนึ่ง บทที่ 13 เพื่อที่คุณจะได้เข้าใจความหมายเต็มของคำจำกัดความของ ความรักของพระเจ้า ขอให้ผมแสดงให้คุณเห็นจากข้อที่สี่จนถึงข้อที่เจ็ด (1โครินธ์13:4-7) ในแบบนี้ก็แล้วกัน สิ่งนี้จะตอบสนองความต้องการ ของคุณมากสักเท่าใด ถ้าหากมีใครรักคุณด้วยความรักที่พระเจ้าตรัสว่า คุณควรจะถูกรักในแบบนั้น
นี่คือคำจำกัดความของความรักในแบบของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงประสงค์ให้เรามีประสบการณ์ในความสัมพันธ์ของเรา คุณจะสังเกตเห็นว่า ความรักชนิดนี้เป็นการมุ่งความสนใจไปที่ “ผู้อื่น” มันเป็น การให้มากกว่า การที่จะตอบสนองความต้องการของตนเอง และนั่นคือปัญหา ใครเล่าที่จะสามารถทำให้ถึงมาตรฐานนี้ได้?
สำหรับเรา ถ้าหากอยากจะมีประสบการณ์กับความรักชนิดนี้ในความสัมพันธ์แล้วละก็ ก่อนอื่นเราเองต้องมีประสบการณ์กับความรักของพระเจ้าสำหรับเราก่อน เราไม่สามารถที่จะสำแดงความรักชนิดนี้ต่อคนใดคนหนึ่งอย่างสม่ำเสมอได้ ถ้าหากว่า เราไม่ได้มีประสบการณ์ของการได้รับความรักแบบนี้มาก่อน พระเจ้าผู้ทรงรู้จักคุณ ผู้ทรงรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวคุณ ทรงรักคุณอย่างสมบูรณ์
พระเจ้าทรงบอกกับเราโดยผ่านทางผู้เผยพระวจนะโบราณ คือท่านเยเรมีย์ว่า “เราได้รักท่านด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้น เราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป” (เยเรมีย์31:3) ดังนั้นความรักของพระเจ้าสำหรับคุณนั้นจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไป
พระเจ้าทรงรักเรามากจนยอมให้พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงกางเขน (เป็นรูปแบบการประหารชีวิตแบบโบราณ) เพื่อความบาปของเรา เพื่อที่เราจะได้รับการชำระให้สะอาด เราอ่านจากพระคัมภีร์ที่ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น3:16) เมื่อเราหันมาหาพระเจ้าและยอมรับการอภัยโทษบาปของพระองค์ เมื่อนั้นเราจะเริ่มต้นมีประสบการณ์กับความรักของพระองค์
พระเจ้าทรงบอกกับเราว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1ยอห์น1:9) ไม่ใช่แค่ที่พระเจ้าทรงยกโทษบาปของเราเท่านั้น แต่พระองค์ทรงลืมมันและทรงชำระเราให้สะอาดด้วย
พระเจ้ายังคงรักเราต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บ่อยครั้งที่ความสัมพันธ์ต้องจบสิ้นลงเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างในความสัมพันธ์นั้นเปลี่ยนแปลงไป เช่น อุบัติเหตุที่ก่อความเสียหายร้ายแรง หรือการสูญเสียสถานะทางการเงิน แต่ความรักของพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับร่างกายภายนอกของเราหรือการที่เราเป็นใครหรือเป็นอะไร
คุณคงจะเห็นได้ว่า มุมมองของพระเจ้าในเรื่องความรักนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่สังคมบอกเราว่า ความรักคืออะไร คุณสามารถจินตนาการได้ไหมว่าความสัมพันธ์จะเป็นอย่างไรในความรักชนิดนี้? พระเจ้าทรงบอกเราอย่างง่ายๆว่า การยกโทษาบาปและความรักของพระองค์นั้น เป็นของเรา เพียงแค่เราขอเท่านั้น มันเป็นของขวัญของพระองค์สำหรับเรา แต่ถ้าเราปฏิเสธของขวัญนี้แล้ว เราเองคือคนที่กันตัวของเราออกมาจากการค้นพบการเติมเต็ม ความสนิทสนมลึกซึ้ง และเป้าหมายในชีวิต ที่แท้จริง
ความรักของพระเจ้าเตรียมคำตอบไว้ให้ สิ่งที่เราต้องทำคือ การตอบสนองด้วยความเชื่อและความตั้งใจจริง พระคัมภีร์กล่าว เกี่ยวกับพระเยซูว่า “แต่ส่วนบรรดา ผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อ ในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตร ของพระเจ้า” (ยอห์น1:12) พระเจ้าทรงส่งพระบุตรองค์เดียว ของพระองค์คือพระเยซู ลงมาสิ้นพระชนม์แทนเรา แต่นั่นไม่ใช่ ตอนจบของเรื่อง สามวันต่อมาพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ในฐานะของพระเจ้า พระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และทรงต้องการ ที่จะใส่ความรักของพระองค์เข้าไปในจิตใจของคุณ เมื่อใดก็ตามที่คุณ ยอมรับพระองค์ คุณจะต้องประหลาดใจกับสิ่งที่พระองค์ทรงสามารถ กระทำในชีวิตของคุณ และในความสัมพันธ์ของคุณด้วย
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า “ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้า ตกอยู่กับเขา” (ยอห์น3:36) สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการสำหรับเรา ก็คือ เพื่อเราจะมีชีวิต ไม่ใช่แค่วันนี้เท่านั้น แต่ในนิรันดร์กาลด้วย ถ้าเราเลือกที่จะปฏิเสธพระองค์ เมื่อนั้นเราก็เลือกที่จะรับผลของความบาป นั่นก็คือความตายและการถูกตัดขาดเป็นนิรันดร์จากพระองค์
การที่จะนำชีวิตของเรามาสู่จุดที่สมดุลนี้ ขึ้นอยู่กับการยอมรับพระเยซูคริสต์ คือการรับเอาพระองค์เข้ามาในชีวิตของเราและการไว้วางใจในพระองค์ ความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าเป็นการปลดปล่อยการอภัยโทษบาปของพระเจ้า เราไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป ไม่ต้องเดินตามทางของตนเองอีกต่อไป พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นกับเรา เรามีสันติภาพกับพระองค์ หลังจากที่เราวางความเชื่อศรัทธาและการพึ่งพาของเรา ไว้ที่พระองค์ พระองค์ทรงสถิตอยู่ในชีวิตของเรา และเราจะมีความสนิทสนมลึกซึ้งกับพระองค์ การอภัยโทษบาปของพระองค์อยู่ที่นั่นที่จะชำระเราจากบาปที่ลึกที่สุด การมีตัวเองเป็นศูนย์กลางที่อยู่ลึกที่สุด ปัญหาหรือความความยากลำบากที่เราเคยมี หรือที่จะมี ที่อยู่ลึกที่สุด
ตลอดทั่วทั้งเล่มของพระคัมภีร์ ทัศนะของพระเจ้าในเรื่องเพศสัมพันธ์นั้นชัดเจนมาก พระเจ้าได้ทรงสงวนเพศสัมพันธ์เอาไว้สำหรับการแต่งงาน และการแต่งงานแต่เพียงเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อที่จะทำให้พวกเราเป็นพวกที่น่าสงสาร แต่พระองค์ทรงต้องการที่จะปกป้องหัวใจของเรา พระองค์ทรงต้องการที่จะสร้างฐานของความมั่นคงเพื่อเรา เพื่อที่เมื่อเราเข้าสู่การแต่งงาน ความสนิทสนมลึกซึ้งของการแต่งงาน จะได้สร้างตัวของมันจากความมั่นคงของความรักและพระปัญญาของพระเจ้า
เมื่อเราวางใจพระเยซูคริสต์สำหรับทั้งชีวิตของเรา พระองค์ประทานความรักใหม่ และพลังใหม่แบบวันต่อวัน นี่คือที่ๆความสนิทสนมลึกซึ้งที่เราแสวงหานั้น จะได้รับการตอบสนองอย่างที่เราพึงใจ พระเจ้าประทานความรักแก่เราที่จะไม่มีวันเลิกรา ไม่หยุดยั้ง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายๆปี และในช่วงเวลาที่มีความเปลี่ยนแปลง ความรักของพระองค์สามารถนำคนสองคนมาอยู่ด้วยกันได้ โดยมีพระองค์ทรงเป็นศูนย์กลางของการเป็นหนึ่งเดียวกัน ในความสัมพันธ์ฉันท์คนรัก เมื่อคุณเติบโตขึ้นด้วยกัน ไม่ใช่แค่ด้านจิตวิญญาณเท่านั้น แต่เป็นด้านสังคม ด้านสติปัญญา และด้านอารมณ์ความรู้สึกด้วย คุณจะสามารถที่จะมีความสัมพันธ์ที่จริงใจ ห่วงใยและลึกซึ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พึงพอใจและน่าตื่นเต้น และมื่อความสัมพันธ์ดำเนินเรื่อยๆมาถึงขั้นสุดท้ายคือการแต่งงาน การมีความสัมพันธ์ทางเพศก็จะเป็นสิ่งที่เสริมสร้างพื้นฐาน ที่ได้รับการสถาปนาเอาไว้แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีกเท่านั้น
คุณสามารถที่จะต้อนรับพระคริสต์ได้เดี๋ยวนี้โดยการอธิษฐาน การอธิษฐานคือการพูดคุยกันกับพระเจ้า พระองค์ทรงทราบจิตใจของคุณ และไม่ได้ทรงสนพระทัยในถ้อยคำที่คุณพูดเท่าใดนัก หากแต่ทรงสนพระทัยในท่าทีภายในใจของคุณมากกว่า ต่อไปนี้คือคำอธิษฐานที่ได้แนะนำไว้ มีดังนี้ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ข้าพเจ้าต้องการพระองค์อย่างจริงใจ ขอบคุณพระองค์ที่ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อความบาปของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอเปิดประตูชีวิตของข้าพเจ้าและต้อนรับพระองค์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงอภัยโทษบาปของข้าพเจ้าและประทานชีวิตนิรันดร์แก่ข้าพเจ้า ขอทรงครอบครองชีวิตของข้าพเจ้า และทำให้ข้าพเจ้าเป็นไปตามที่พระองค์ปรารถนาให้ข้าพเจ้าเป็นด้วยเถิด”
คำอธิษฐานนี้ตรงกับใจปรารถนาของคุณไหม? ถ้าหากตรง เชิญอธิษฐานได้เดี๋ยวนี้ การวางความเชื่อของคุณ ไว้ในพระคริสต์จะส่งผลให้พระองค์เสด็จเข้ามาในชีวิตของคุณ อย่างที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ นี่จะเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระองค์ ซึ่งจะเติบโตขึ้นในความสนิทสนมลึกซึ้ง เมื่อคุณได้รู้จักพระองค์ดีขึ้น และการมีพระองค์เป็นศูนย์กลางในชีวิตของคุณ จะทำให้ชีวิตของคุณมีมิติใหม่ คือมิติทางด้านจิตวิญญาณ ที่จะนำมาซึ่งการประสานกลมกลืนกันและการเติมเต็มในความสัมพันธ์ทุกอย่างของคุณเลยทีเดียว
► | ฉัน/ผมได้เชิญพระเยซูให้เข้ามาในชีวิต (มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ดังต่อไปนี้) |
► | ฉัน/ผม อาจจะอยากเชิญให้พระเยซูเข้ามาในชีวิต กรุณาอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้ |
► | ฉัน/ผม มีคำถาม หรือ ความคิดเห็น |
© Richard Purnell ดิ๊ก เพอร์เนลล์ ได้ทำการบรรยายแก่นักศึกษาในกว่า 450 วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย ท่านเป็นผู้เขียนหนังสือ 12 เล่ม รวมทั้งหนังสือชื่อ Becoming a friend and Lover and Free to Love Again: Coming to Terms with the Sexual Regret (กลายมาเป็นเพื่อนและคนรักและอิสระที่จะรักอีกครั้ง: การตกลงใจเกี่ยวกับความเสียใจเรื่องเพศสัมพันธ์)