คุณเคยมีความรู้สึกไหมว่า ชีวิตมันต้องมีอะไรที่มากกว่านี้? อะไรบางอย่างที่มากกว่าแค่การเป็นอยู่ในโลกนี้เท่านั้น ต่อไปนี้คือเรื่องที่เล่าอย่างตรงไปตรงมาของบุคคลต่างๆ ซึ่งนำเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับชีวิตที่แท้จริงและบทบาทของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา
คุณอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับคนๆหนึ่งที่มีเป้าหมายที่จะปีนภูเขาลูกใดลูกหนึ่ง แล้วในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ แต่เมื่อถึงยอดเขา เขากลับรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่เขาจะไปต่อได้ และบางสิ่งบางอย่างยังคงขาดหายไปในชีวิตของเขา คล้ายกับเรื่องของนักอเมริกันฟุตบอลมืออาชีพที่รู้สึกหดหู่ แม้ว่าเขาเพิ่งจะได้ชัยชนะจากการแข่งขันในรายการซูเปอร์โบลมาหมาดๆ
ประสบการณ์ของผมในมหาวิทยาลัยก็คล้ายๆอย่างนั้น เมื่อผมอยู่แค่ ปีที่สาม ผมก็ประสบความสำเร็จทุกอย่าง ที่ผู้คนบอกว่า ถ้าทำแล้ว ผมจะรู้สึกว่าได้รับการเติมเต็ม เช่นการได้เข้าเป็นสมาชิกของหอพัก ของมหาวิทยาลัยที่เป็นที่ยอมรับ และในองค์กรอื่นๆที่มีในมหาวิทยาลัย การเข้าร่วมงานสังสรรค์อย่างสนุกสนาน การทำเกรดได้สูงๆ และการใช้เวลากับผู้หญิงที่ผมสนใจ
ทุกอย่างที่ผมต้องการจะทำและสิ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จในมหาวิทยาลัย ก็ทำเรียบร้อยหมดแล้ว แม้เมื่อผมได้ปีนขึ้นไปจนถึง”ยอดภูเขา” แล้ว ผมก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ได้รับการเติมเต็มอยู่อีกนั่นแหละ บางสิ่งบางอย่างยังขาดหายไป ผมไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี
แน่นอนทีเดียว ที่ไม่มีใครรู้ว่า ผมรู้สึกเช่นนี้กับชีวิตของผม คือภายนอกผมไม่ได้แสดงความรู้สึกนั้นออกมา มันช่างน่าขันนักที่ผมรู้สึกได้ว่า พวกนักศึกษาชายที่อยู่หอพักเดียวกับผมมองชีวิตของผมอย่างเอาเป็นแบบอย่าง บางทีพวกเขาอาจจะหวังว่า ชีวิตของพวกเขาจะเป็นเหมือนชีวิตของผมอยู่ก็ได้ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าผมรู้สึกว่าไม่ได้รับการเติมเต็มมากสักแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ในหอพักเดียวกับผมก็มีนักศึกษาชายกลุ่มหนึ่ง ผมเรียกพวกเขาว่า “พวกบ้าพระคัมภีร์” ถึงแม้ว่าผมจะหัวเราะเยาะพวกเขาและมองหาโอกาสอยู่เสมอที่จะกล่าวโทษพวกเขา แต่มีบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขาที่ผมไม่สามารถจะเข้าใจได้ คือดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ขาดอะไรเลยในชีวิต พวกเขาดูเหมือนจะมีการเติมเต็มที่แท้จริงซึ่งผมพยายามหานั้นอยู่ พวกเขาดูเหมือนจะรู้ ความหมายของชีวิต
ตอนภาคฤดูร้อนหลังจากปีสุดท้ายของผม ผมได้รับการเชื้อเชิญให้ไปร่วมการศึกษาพระคัมภีร์ที่คริสตจักร ด้วยเหตุผลบางอย่างผมก็ได้ไปร่วม ผมเดาว่าผมคงรู้สึกเปิดในเรื่องจิตวิญญาณขึ้นมากกว่าปกติ เมื่อมีคนหนึ่งเริ่มต้นสอนบางอย่างจากพระคัมภีร์ ผมตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง “โอ้โห สิ่งนี้มันตรงมากๆ” ผมตกตะลึงด้วยความทึ่งว่าพระคัมภีร์ทำไมมันจริงอย่างนี้และดูมันเหมาะสมใช้การได้กับชีวิตของผมเสียเหลือเกิน
มันเหมือนกับว่าพระเจ้าได้ทรงเคาะอยู่ที่ประตูหัวใจของผม แต่ผมยังไม่ต้องการที่จะให้พระองค์เข้ามาในหัวใจของผม ผมได้แต่คิดถึงว่า ชีวิตของผมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และที่เพื่อนๆของผมจะคิดว่าผมเพี้ยนไปแล้ว ผมรู้สึกกลัว แต่ยิ่งผมคิดถึงมันมากขึ้นเท่าไหร่ พระเจ้าก็ทรงช่วยให้ผมรู้แก่ใจตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ว่า การเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์ เป็นสิ่งถูกต้องที่สมควรทำ ดังนั้นผมจึงบอกพระเจ้าว่า ผมต้องการพระองค์อย่างจริงใจที่จะให้พระองค์ทรงเข้ามาในชีวิตของผม
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น มันยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ ผมสามารถที่จะเล่าได้แค่นี้ว่า ผม “ได้พบ” พระเจ้า และเมื่อผมได้พบพระองค์แล้ว ผมก็ได้ค้นพบการเติมเต็มที่แท้จริง ผมรู้สึกถึงความครบสมบูรณ์อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เหมือนกับส่วนที่ว่างเปล่าในส่วนลึกของจิตวิญญาณของผม ได้รับการเติมให้เต็มแล้ว คือความครบสมบูรณ์ที่ได้เติมเข้ามาในชีวิตของผม ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ในเวลาต่อมาผมก็พบอีกว่าประสบการณ์ของผมไม่ใช่เป็นเพียงของผมคนเดียวเท่านั้น พระเยซูทรงเสนอที่จะกระทำเช่นนี้ในชีวิตของคนทุกคน พระองค์ได้ตรัส (และยังตรัสอยู่) ว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย”1 พระเยซูทรงให้ข้อเสนอที่เราจะมีความสัมพันธ์กับพระองค์เอง
ชีวิตยังคงมีขึ้นมีลง มีความผิดหวังและปัญหาของมันอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตของผมมีความหมายและมีความพึงพอใจอย่างมากก็คือการเติมเต็มที่แท้จริงที่ผมได้มีประสบการณ์ในการรู้จักกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง
เมื่อผมโตขึ้นและได้ดูหนังเรื่อง The Wizard of Oz (พ่อมดแห่งออซ) ทางทีวี มันเหมือนกับเหตุการณ์เฉลิมฉลองในตัวของมันเอง คุณอาจจะจำเรื่องราวได้ โดโรธีได้จากแคนซัสและไปตกอยู่ในดินแดนออซ ที่ซึ่งเธอได้ฆ่าพ่อมดผู้ชั่วร้าย ลงอย่างง่ายดายและได้กลายมาเป็นคนที่มีชื่อเสียงในทันใด อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ชาวเมืองออซให้ความเคารพและมีความปรารถนาดีต่อเธอ สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ความเจ็บปวดของเธอหายไปได้เลย นั่นคือความ ปรารถนาที่จะกลับบ้าน แต่ โชคดีที่ว่า อย่างเดียวที่โดโรธีต้องการเพื่อที่ เธอจะกลับบ้านได้ ก็คือ การได้พบกับพ่อมดผู้มหัศจรรย์แห่งออซ ดังนั้นก่อนที่เธอจะทันรู้ตัวเสียอีก เธอก็ได้เดินทางไปพร้อมด้วยเพื่อนร่วมทาง สามคน ด้วยความคาดหวังอันน่ายินดีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการที่จะได้พบกับผู้วิเศษท่านนี้
จำได้ไหมว่าอะไรเกิดขึ้นต่อไป? แทนที่จะได้พบกับพ่อมดที่ใจดีและมีความห่วงใยคนอื่น โดโรธีและเพื่อนๆกลับได้รับการต้อนรับจากเสียงที่มีความโมโหโกรธาและน่ากลัว ที่เรียกร้องให้พวกเขาทำสิ่งที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้ เพื่อพิสูจน์ตัวของพวกเขาเอง นั่นก็คือ การนำไม้กวาดของพ่อมดผู้ชั่วร้ายมาให้ได้
ต้องทำอะไรต่ออะไรมากมายจริงๆ สำหรับพ่อมดแห่งออซผู้มหัศจรรย์ท่านนี้
หลังจากผ่านการทดสอบที่ทรหดซึ่งวุ่นวายสับสนมากมายแล้ว โดโรธีและเพื่อนๆของเธอก็มายืนอยู่ต่อหน้าพ่อมดแห่งออซ อีกครั้งหนึ่ง (ครั้งนี้มาพร้อมกับไม้กวาด) เมื่อโดโรธี และสุนัขที่ชื่อโตโต้ ดึงผ้าม่านลงก็ปรากฎว่ามีเพียงชายแก่ที่ใจดีคนหนึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรเหมือนกับเสียงก้องกังวานของพ่อมดที่พวกเขาได้ยินในครั้งแรกเลยสักนิดเดียว
เมื่อผมเติบโตขึ้นมา พระเจ้า สำหรับผมก็เหมือน พ่อมดแห่งออซ ผมคิดว่าพระองค์ดุร้ายและขี้โมโห และพระองค์ทรงรู้นิดหน่อยเท่านั้นเกี่ยวกับตัวผม ภาพเกี่ยวกับพระองค์ที่ผมเห็นจากการไปคริสตจักรเมื่อตอนเป็นเด็ก ทำให้ผมรู้สึกว่าพระองค์ทรงอยู่ห่างไกล อยู่กันแบบคนละโลก และเอื้อมไม่ถึง การสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน เป็นภาพที่ “เห็นเป็นประจำ” ผมเข้าใจว่ามันเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงทำอย่างไม่ค่อยเต็มพระทัยสักเท่าไหร่ สิ่งที่ผมคิดว่าพระองค์ทรงต้องการที่จะเห็นมันเกิดขึ้นก็คือ ผมปฏิบัติตัวได้ดีแค่ไหน และผมดำเนินชีวิตได้ตามมาตรฐานของพระองค์มากแค่ไหน ถ้าหากผมต้องการจะให้พระองค์ทรงยอมรับผม ผมจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่า ตัวเองนั้นมีคุณค่าเพียงพอ คุณคงพอจะจินตนาการตามได้ว่า พระเจ้าไม่ได้เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของผม มหัศจรรย์ ไม่ใช่คำที่ผมจะใช้ในการบรรยายภาพของพระเจ้าแน่
ต่อจากนั้น เมื่อผมอยู่ปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย ความคิดเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงไป ผ้าม่านที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออก เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่มีใครบางคนได้ชี้ให้ผมเห็นจากพระคัมภีร์ ซึ่งมันคือหนังสือที่ผมเคยคิดว่ามันพร่าเลือนมากในการที่จะบอกว่าพระเจ้าคือใครอย่างแท้จริง พระองค์ไม่ใช่คนที่ขี้โมโห หรือใจร้าย แต่พระองค์เป็นในสิ่งที่ตรงกันข้าม พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรักและมีความเมตตาเอ็นดู พระองค์ทรงทราบว่าผมไม่มีความสามารถที่จะดำเนินชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ และรักษามาตรฐานชีวิตเหมือนพระองค์ได้ ดังนั้นพระองค์ จึงทรงมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ และมาเพื่อทำตามมาตรฐานเหล่านั้นแทนผม โดยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์นั่นเอง
พระเยซูคริสต์ที่ผมได้เรียนรู้จัก ไม่ใช่มาเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ผม แต่มาเพื่อเป็นตัวแทนของผม ผมไม่จำเป็นต้องเลียนแบบการทนทุกข์ทรมานเหมือนพระองค์ แต่ใด้ใช้ประโยชน์แห่งการทนทุกข์ทรมานของพระองค์ ในการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์ ซึ่งผมค้นพบว่า พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์อย่างเต็มพระทัย ซึ่งนั่นหมายถึงว่าความผิดบาป และความล้มเหลวของผมได้รับการตัดสินไปแล้ว บนไม้กางเขน พระเจ้าทรงสำแดงความรักที่ยิ่งใหญ่ต่อผม บนไม้กางเขนนั่นเองที่พระองค์ทรงแสดงให้ผมรู้ว่า ทรงรู้จักผมดีแค่ไหน เป็นที่นั่นเองที่พระองค์ทรงยอมรับผม ดังที่พระคัมภีร์ได้กล่าวเอาไว้ว่า “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์(พระเยซู) ผู้ทรงไม่มีบาป ให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้า ทางพระองค์”2
การยอมรับที่แท้จริงซึ่งผมได้ค้นพบนั้น ตั้งอยู่ที่ใครบางคนผู้อยู่ข้างหลังม่าน ผมขอท้าทายที่คุณจะดึงผ้าม่านนั้นออกและค้นพบด้วยตัวของคุณเอง และที่จะพิจารณาข้อเสนอของพระองค์เรื่องการยอมรับและการอภัยโทษของพระองค์
ฉันคิดอยู่เสมอว่า ชีวิตน่าจะเป็นอะไรที่มีความหมาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องตลอด เวลาในทุกๆวัน ฉันหมายถึงว่า ชีวิตจะมีความหมายอย่างไรขณะเมื่อเราซักเสื้อผ้าอยู่? หรือชีวิตไม่จำเป็นต้องซีเรียสจริงจังเสมอไป เราทุกคนต้องการเป็นอย่างยิ่งที่จะมี ช่วงเวลาที่ดีๆหลายๆโหลเลยทีเดียว
แต่ชีวิตก็น่าจะเป็นมากกว่าแค่การแสวงหาความพึงพอใจไปวันๆ บางส่วนก็เพราะว่า ความพึงพอใจนั้นไม่ได้คงอยู่เสมอไป มันมาอยู่สักพักแล้วมันก็ไป นักเขียนท่านหนึ่ง ชื่อ ระวี แซคคารี่ เขียนถึงมันได้อย่างดีทีเดียว ว่า “ถ้าหากชีวิตไม่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านี้... ชีวิตคงจะปราศจากพลังขับเคลื่อน ปราศจากแก่นสาร หรือคำอธิบายโดยรวม”
ฉันได้ศึกษาปรัชญาของดอสโตเยฟสกี แซเตร นีทซเซ โซเครติส และท่านอื่นๆอีกหลายท่าน เพื่อที่จะหาเป้าหมายของชีวิตที่ดูเหนือกว่าหรือที่จูงใจกว่า ทุกๆสองหรือสามสัปดาห์ฉันจะ “ลองทำดู” ตามปรัชญาใหม่เหล่านั้นเพื่อจะดูว่ามันจะได้ผลหรือไม่ แต่ฉันพบว่า ปรัชญาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ทำให้ฉันผิดหวังทั้งนั้นเมื่อฉันประยุกต์ใช้มันในสถานการณ์จริงของชีวิต การค้นหาของฉันจึงดำเนินต่อไป
ดร. เดวิด ไอค์แมน ผู้สื่อข่าวนานาชาติของ นิตยสารไทม์ ได้ให้ความสว่างในเรื่องนี้บ้าง ท่านผู้นี้มีปริญญาโทและเอกสองสามใบ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ของรัสเซียและจีน และเรื่องราวเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ ท่านทำงานในกว่า 30 ประเทศ สื่อสารได้อย่างดีในหกภาษา และเป็นบุคคลที่เป็นนักคิดเกี่ยวกับประเด็นต่างๆในชีวิตที่จริงจังคนหนึ่ง ท่านพูดว่า เราแต่ละคนมีเป้าหมาย เหตุผลในการที่เรามาอยู่ที่นี่ ซึ่งไม่มีใครบอกคุณได้ว่ามันคืออะไร แต่คุณค้นหามันได้จากพระเจ้า ดร.ไอค์แมนแนะนำให้เริ่มต้นการมีความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์
ดร. ไอค์แมนเล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เมื่อผมได้ยินคำตรัสของพระเยซู (จากพระคัมภีร์) มันดูเหมือนว่าพระองค์ทรงกำลังตรัสกับจิตใจของผม และพระองค์กำลังตรัสว่า “เราเป็นหนทางที่จะมาถึงชีวิต ถ้าท่านติดตามเรา และทำตามสิ่งที่เราบอก ชีวิตของท่านจะเปลี่ยนแปลง” หลังจากนั้นท่านก็พูดถึงการเดินก้าวแรกเพื่อที่จะเริ่มต้นการมีความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ โดยการที่ท่านขอให้องค์พระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน ดร.ไอค์แมน ได้สรุปเอาไว้ว่า “ผมสามารถให้สัญญากับคุณได้ว่า ใครก็ตามที่ได้เดินก้าวแรกไปหาพระเยซูคริสต์ คนๆนั้นจะมีชีวิตที่น่าตื่นเต้น”
เหมือน ดร.ไอค์แมน ฉันมาจากพื้นฐานที่ว่าไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า และดังเช่นดร. ไอค์แมน ฉันพบว่า สิ่งที่พระเยซูกล่าวนั้นค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร พระเยซูไม่ได้ชี้ให้ผู้คนมองไปที่ปรัชญาของพระองค์ในเรื่องชีวิต พระองค์ได้ชี้ให้ผู้คนมองที่พระองค์ พระเยซูตรัสว่า ทรงสามารถที่จะอภัยโทษบาปของเราได้ ให้สันติสุขแก่เราในท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากในชีวิต และทรงนำทางเราไปสู่ชีวิตที่มีอิสรภาพ
ฉันมีความตั้งใจว่า ถ้ามีพระเจ้าอยู่จริงแล้วละก็ ฉันก็อยากจะรู้จักพระองค์ แต่ฉันก็ยังสงสัยอยู่ดี ฉันโต้แย้งและท้าทายพวกคริสเตียนที่ฉันรู้จัก ฉันต้องการข้อพิสูจน์ที่ว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า วันหนึ่งฉันได้พิจารณาหลักฐานว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ และความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ อย่างจริงใจ และฉันก็ต้องตกใจว่าฉันพบความจริงทางประวัติศาสตร์ที่ดูสมเหตุสมผลมากมาย ฉันรู้หลังจากนั้นว่า ฉันจำเป็นต้องตัดสินใจ คือ ที่ฉันจะต้อนรับพระองค์ให้เข้ามาชีวิตของฉัน และเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตของฉันในแบบที่พระองค์ประสงค์ หรือที่ฉันจะปิดบทหนึ่งในชีวิตของฉัน และปฏิเสธที่จะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในเรื่องของพระเจ้าไปเสียเลย?
หลังจากที่มีการทบทวนถึงเหตุผลที่มีน้ำหนักและที่ชาญฉลาด ของการเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันได้ขอให้ พระเยซูทรงเข้ามาในชีวิตของฉัน และหลังจากวันนั้น การแสวงหาเกี่ยวกับความหมายของชีวิตก็ยุติลง
มันทำให้ฉันประหลาดใจมากว่า ฉันสามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ ฉันพูดคุยกับพระองค์ และในความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ต่างๆ พระองค์ทรงส่งสัญญาณว่าพระองค์ทรงได้ยินฉัน พระองค์ทรงนำทางฉันเรื่องหนทางการทำงานที่ขยายกว้างกว่าและน่าตื่นเต้นมากกว่าที่ฉันเคยฝันถึงมันเสียอีก และฉันได้ถามคำถามบางอย่างต่อพระองค์ พระองค์ก็ทรงนำพาฉันให้พบกับคำตอบที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์จากพระคัมภีร์
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในวันที่มีความมืดมน หรือมีมรสุมเท่านั้น มันเป็นความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับพระเจ้าแบบสองทาง(มีการสื่อสารจากทั้งสองฝ่าย-ผู้แปล) ซึ่งฉันชื่นชอบมันในความสัมพันธ์แต่ละวันและยังคงชอบอยู่ มันไม่ใช่เพราะว่า ฉันได้กลายเป็นนักบุญไปแล้ว แต่เป็นเพราะว่า พระเยซูจะทรงเข้าไปในชีวิตของทุกคนที่ต้องการจะรู้จักกับพระองค์และติดตามพระองค์
การที่ได้ติดตามพระเจ้า เป็นความชื่นชมยินดีลึกๆ มันไม่เหมือนกับสิ่งใดหรือกับอะไรทั้งสิ้น การรู้จักกับ พระเยซูคริสต์นำมาซึ่งเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตของฉัน
ชีวิตที่แท้จริงคือชีวิตที่ได้รับการเติมด้วยความเต็มสมบูรณ์ การยอมรับ และเป้าหมาย เราพบมันได้ในความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเลย ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ได้กล่าวอ้างดังเช่นพระเยซูได้ทรงทำ และทรงประทานบทพิสูจน์ต่อคำกล่าวอ้างเหล่านั้นด้วย พระองค์ทรงกล่าวอ้าง ว่าทรงเป็นพระเจ้า ทรงสามารถที่จะยกโทษบาปได้ และทรงเป็นหนทางเดียว ซึ่งโดยทางพระองค์เท่านั้นที่เราจะสามารถรู้จักกับพระเจ้าพระบิดาได้ พระเยซู ทรงหนุนคำกล่าวอ้างเหล่านั้นด้วยการฟื้นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ทรงเป็น บุคคลที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ อย่างแท้จริง มากกว่าพวกบรมครูทั้งหลาย
พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่ลงมาเป็นมนุษย์ “พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”3 “พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า...”4 พูดสั้นๆก็คือว่า พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นอย่างไรอย่างเป็นพิมพ์เดียวกัน แล้วเราจะเริ่มต้นมีความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างไร?
เราไม่ได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยการพยายามเป็นคนที่ดีขึ้น การพยายามมากขึ้นที่จะทำให้พระเจ้าทรงยอมรับเรานั้นไม่ใช่หนทางที่พระองค์ทรงต้องการให้เราดำเนินชีวิต คุณเคยมีความสัมพันธ์กับใครสักคน แล้วคุณต้องพยายามทำเพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากเขาไหม? มันไม่สนุกเอาเสียเลย
พระเจ้าทรงมีความรักให้เราอย่างแท้จริง เป็นพระองค์เองที่ทรงจัดเตรียมหนทางเพื่อให้เราได้เข้าไปใกล้พระองค์ แต่มันมีปัญหาอยู่ ตอนนี้สิ่งที่ขวางทางไม่ให้เราสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ก็คือความบาปของเรา (การมีตนเองเป็นศูนย์กลางของเราซึ่งเห็นได้จากความโกรธของเรา คำพูดที่ทำให้คนอื่นเจ็บปวด การขาดความอดทนของเรา ความเห็นแก่ตัวของเรา ความโลภของเรา เป็นต้น) ถ้าคุณเคยมีความสงสัยว่า ทำไมคำอธิษฐานของคุณดูเหมือนมันไม่ได้ไปที่ไหนเลย นั่นคือเหตุผลว่าทำไม เพราะความบาปของเราทำให้เราถูกตัดขาดจากพระเจ้าผู้ซึ่งบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ แล้วพระเจ้าได้ทรงกระทำอะไรไปแล้วบ้าง เพื่อที่เราจะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ได้? พระเยซูคริสต์ (“พระเจ้าในสภาพมนุษย์”) ได้นำความบาปทั้งสิ้นของเราไปแบกไว้ที่บ่าของพระองค์ในขณะที่ทรงเต็มพระทัยที่จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อที่เราจะได้รับการอภัยโทษบาปอย่างสมบูรณ์ เป็นที่ยอมรับจากพระองค์อย่างสมบูรณ์
ปัญหาของเรา สามารถที่จะให้ภาพเปรียบเทียบได้เหมือนกับเรื่องที่นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งที่ถูกตั้งข้อหาความผิดทางอาญา ผู้พิพากษาตัดสินให้จำคุกเขาเป็นเวลา 30 วัน หรือต้องจ่ายค่าปรับ 1000 เหรียญสหรัฐ นักศึกษาผู้นี้ไม่สามารถที่จะรับโทษอย่างใดอย่างหนึ่งได้ไม่ว่าจะเป็นเวลาในคุกหรือเงินค่าปรับ ผู้พิพากษาท่านนั้นทราบสิ่งนี้แล้ว ก็เลยถอดเสื้อคลุมผู้พิพากษาออก เดินไปที่หน้าแท่นพิพากษา และเอาสมุดเช็คของตนเองออกมาแล้วเขียนเช็คจ่ายค่าปรับแทนไป ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะว่า ในฐานะที่เขาเป็นผู้พิพากษา เขาไม่สามารถที่จะมองข้ามความผิดนั้นไปได้ แต่เพราะว่า เขาเป็นคุณพ่อของนักศึกษาคนนั้น เขาเลือกที่จะจ่ายค่าปรับแทนโทษของนักศึกษาหญิงคนนั้นเสียเอง
พระเยซูทรงกระทำแบบเดียวกันนี้ แก่เราทุกคนบนไม้กางเขน พระองค์ทรงเสียสละอย่างยิ่งใหญ่โดยทรงถูกทุบตีทำร้าย ถูกทำให้ได้รับความอับอายขายหน้า ถูกโบยตี และถูกตรึงที่กางเขนแทนพวกเรา ในตอนนี้พระองค์ทรงต้องการให้เราตอบสนองต่อการเสียสละของพระองค์ โดยการเชื้อเชิญพระองค์ ให้เข้ามาในชีวิตของเรา
พระองค์ทรงต้องการที่จะให้เรารู้จักพระองค์และมีประสบการณ์กับความรัก ความชื่นชมยินดี และสันติสุขของพระองค์ในชีวิตของเรา เมื่อเราขอให้พระองค์เข้ามาในชีวิตของรา เราจะได้รับการอภัยโทษบาปของพระองค์ และเราจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระองค์ที่จะคงอยู่ตลอดไป พระเยซูตรัสว่า “เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู (หัวใจของคุณ) ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตูเราจะเข้าไปหาผู้นั้น”5
ถ้านี่เป็นความปรารถนาในจิตใจของคุณ ข้างล่างนี้คือคำอธิษฐานที่ได้แนะนำไว้ให้ (แต่คำพูดไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับท่าทีภายในใจของคุณ) คำอธิษฐานมีดังนี้ว่า
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอสารภาพว่า ข้าพเจ้าได้กระทำบาปต่อพระองค์ ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของข้าพเจ้าไว้ที่พระองค์แล้วบนไม้กางเขน ข้าพเจ้าต้องการที่จะรับการอภัยโทษบาป จากพระองค์ ข้าพเจ้าต้องการที่จะเข้ามาสู่การมีความสัมพันธ์กับพระองค์ ข้าพเจ้าทูลขอให้พระองค์ทรงเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้าในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ขอทรงโปรดประทานชีวิตที่แท้จริงที่หาได้จากพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
หากคุณต้องการทราบมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องความหมายของชีวิต ให้คลิกไปที่บทความ แหล่งของชีวิตที่เปลี่ยนแปลง หรือบทความอื่นๆในเว็บไซต์นี้
► | ฉัน/ผมได้เชิญพระเยซูให้เข้ามาในชีวิต (มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ดังต่อไปนี้) |
► | ฉัน/ผม อาจจะอยากเชิญให้พระเยซูเข้ามาในชีวิต กรุณาอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้ |
► | ฉัน/ผม มีคำถาม หรือ ความคิดเห็น |
“ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต” (1ยอห์น5:12)
“แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า” (ยอห์น1:12)
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น3:16)
“ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้น ก็รอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” (เอเฟซัส2:8-9)
“เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2โครินธ์5:17)
“และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่เขารู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยอห์น 17:3)
(1) ยอห์น6:35 (2) 2โครินธ์5:21 (3) ยอห์น1:14 (4) ฮีบรู 1:3 (5) วิวรณ์3:20