พวกเราหลายคนทีเดียวที่มีพระเจ้าใน“อุดมคติ”ของเราเอง บางทีเราอาจจะคิดว่าพระเจ้าน่าจะเป็นผู้ที่มีความสามารถทำทุกสิ่งได้ ผู้ที่สามารถสื่อสารกับเราได้และทรงดูแลห่วงใยเรา สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ คือคุณสมบัติของพระเจ้าที่พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บอกกับเราไว้...
ในทุกวันนี้มนุษย์เรามีการพัฒนาต่างๆอย่างมากมาย เรามีอายุขัย ที่ยืนยาวมากยิ่งกว่าบรรพบุรุษของเรา เราบินได้เร็วกว่าความเร็ว เสียงเสียอีก และเราเข้าถึงโลกทั้งโลกได้โดยอาศัยเพียงคีย์บอร์ด ของคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ในขณะที่เรามีความก้าวหน้าในหลายๆ ด้าน มีอีกหลายด้านเช่นกันที่เรากลับเสื่อมถอยลง ทุกๆทศวรรษ เราได้เห็นอาชญากรรมที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น อัตราการหย่าร้าง ที่สูงขึ้น และการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นก็มีจำนวนมากขึ้นด้วย ทุกๆวันก็มีคนหลายพันคนทั่วโลกที่ได้รับเชื้อHIV มีคน หลายร้อยล้านคนที่ต้องประสบกับความอดอยากอย่างรุนแรง
สิ่งที่เสื่อมถอยเหล่านี้ ถ้าเขียนออกมาได้มันคงยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น เราได้เห็นได้ยินเกี่ยวกับสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลกในทศวรรษที่ผ่านมา ถ้าหากมวลมนุษยชาติ คือพระเจ้า เมื่อเรามองดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลกแล้ว เราคงจะไม่คิดว่าเราทำหน้าที่ของพระเจ้าได้ดีสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าเราจะมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี่เพิ่มขึ้นมากมายก็ตาม แต่ยังคงมีการก่ออาชญากรรม การหย่าร้าง ความขัดแย้งต่อสู้กันระหว่างเชื้อชาติ และรัฐบาลที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนในเรื่องภาษีและรายได้อยู่ ดังนั้นมันจะไม่ดีกว่าหรือที่เราจะมีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์อย่างเรา ผู้ซึ่งมีความสามารถที่จะพาเราไปให้ไกลกว่าที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง?
พระเจ้าที่พระคัมภีร์ได้พรรณนาไว้ก็เป็นเช่นนั้นแหละ พระองค์ทรงกล่าวอ้างว่าทรงเป็นผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ ผู้ทรงดำรงอยู่เหนือสรรพสิ่ง สรรพเวลา ผู้ทรงล่วงรู้ทุกอย่าง ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้น ทรงเป็นผู้ดำรงอยู่ตลอดนิรันดร์กาลและผู้ซึ่งทำให้ทุกสิ่งที่ทรงสร้างดำเนินไปและดำรงอยู่อย่างถูกทิศถูกทางของมัน พระองค์ตรัสว่า “เราสร้างแผ่นดินโลกและเนรมิตมนุษย์บนนั้น เราเอง มือของเราขึงฟ้าสวรรค์และเราบัญชาบริวารทั้งสิ้นของมัน”1 “เราเป็นพระเจ้าและไม่มีอื่นใดอีก เราเป็นพระเจ้าและไม่มีอื่นใดเหมือนเรา”2 “พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ผู้ได้ทรงเป็นอยู่ในกาลก่อน ผู้จะเสด็จมานั้น และผู้ทรงฤทธานุภาพ...”3
ความคิดที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมในปัจจุบันนี้คือความคิดที่ว่าพระเจ้า ทรงเป็น“พลังงานอย่างหนึ่ง” ซึ่งปรากฎอยู่ในทุกสิ่ง แต่ถึงแม้ว่า ด้วยพลังของพระเจ้าตามที่เราเข้าใจ จะทำให้ทุกสิ่งดำรงอยู่ หรือเป็นไปตามระบบของมันในทุกๆขณะก็ตาม แต่พระเจ้า น่าจะเป็นอะไรที่มากกว่านั้นนะ ยกตัวอย่างเช่น การมี พระเจ้าที่เหมือนกับพ่อแม่ของเรา พี่น้องของเราหรือเพื่อน ของรา มันจะดีกว่าไหม? ทรงเป็นใครบางคนที่คุณสามารถพูด คุยด้วยได้ คนที่คุณจะเล่าให้เขาฟังถึงปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่ได้ หรือคนที่คุณจะได้รับคำแนะนำดีๆจากเขา หรือคนที่คุณจะมี ประสบการณ์ชีวิตร่วมกันกับเขา มันจะพิเศษอะไรถ้าคุณ มีพระเจ้าที่ไม่มีตัวตนซึ่งจับต้องได้ หรือผู้ที่คุณไม่สามารถ รู้จักได้หรือผู้ที่อยู่ห่างไกลจากคุณ?
พระเจ้าที่ได้อธิบายไว้ในพระคัมภีร์ไม่ได้มีเพียงแค่ความยิ่งใหญ่และ“ลักษณะอื่นๆ”เท่านั้น แต่พระองค์ยัง ทรงเป็นพระเจ้าที่เรารู้จักได้ และทรงต้องจะเป็นที่รู้จักของทุกคนด้วย และถึงแม้ว่าพระองค์นั้นไม่ปรากฎแก่สายตา แต่เราก็ยังสามารถพูดคุย ถามคำถามและฟังเสียงของพระองค์ได้ และพระเจ้าจะประทานคำตอบ และการชี้ทางแก่เราโดยทางพระคัมภีร์ซึ่งก็คือคำพูดของพระองค์ หลายๆคนเรียกสิ่งนี้ว่า จดหมายรักของ พระเจ้าถึงเรา
คนเราสามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ แบบเดียวกันกับความสัมพันธ์ของเขาและสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดกัน ในความเป็นจริง พระเจ้าทรงเรียกผู้ที่รู้จักกับพระองค์ว่าเป็นบุตร เป็นเจ้าสาวและเพื่อนของพระองค์ ดังนั้น พระเจ้าในพระคัมภีร์ทรงเป็นทุกสิ่ง เพียงแต่เราจับต้องพระองค์ไม่ได้ พระองค์ทรงกริ้ว เศร้าพระทัย แสดงความเมตตา ความกรุณาและการอภัยโทษได้ และทรงเป็นพระเจ้าที่มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างครบสมบูรณ์ ทรงมีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ ทรงมีบุคคลิกภาพและไหวพริบปฏิภาณ เราสามารถรู้ถึงพระองค์ได้มากกว่า แค่รู้ ความจริง เกี่ยวกับพระองค์เท่านั้น สามารถรู้จักกับพระองค์จริงๆอย่าง สนิทสนมแน่นแฟ้น เหมือนกับพระองค์เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเรา “และนี่คือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว...”4
บางคนคิดว่าพระเจ้าเป็นอะไรที่อยู่ไกลแสนไกล เหมือนกับ ว่าพระองค์ทรงสร้างจักรวาลแห่งนี้แล้วก็ทิ้งไปเสียและปล่อย ให้มันดำเนินไปของมันเอง มันจะดีกว่าไหม ที่เราจะมีพระเจ้า ผู้ทรงมีส่วนร่วมกับจักรวาลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่ กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้? และถ้าเรื่องเกี่ยวกับความยาก ลำบากต่างๆเฉพาะอย่าง ความรับผิดชอบทั้งหลายของเรา และสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเราในฐานะที่เราเป็น มนุษย์นี่ล่ะ เอาพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวด้วยมันจะดีกว่าไหม? หรือมันจะดีกว่า ที่เราจะมีพระเจ้าผู้ทรงเข้าพระทัยในสิ่ง เหล่านั้น พระเจ้าผู้ซึ่งด้วยเหตุผลบางอย่างทรงรู้ว่าชีวิตที่ ต้องอดทนอยู่ในโลกอันเลวร้ายนี้ มันเป็นอย่างไร?
พระเจ้าในพระคัมภีร์ทรงทราบว่า การเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา เป็นอย่างไร พระเยซูคริสต์ผู้มิใช่เป็นเพียงแค่พระบุตรของพระเจ้าเท่านั้น แต่ทรงเป็นพระเจ้าที่ลงมารับสภาพอยู่ในร่างกายและในธรรมชาติของมนุษย์อย่างครบถ้วน “ในปฐมกาลพระวาทะ(พระเยซู)ดำรงอยู่ พระวาทะ(พระเยซู)ทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และอยู่ท่ามกลางเรา...”5
เกี่ยวกับพระบุตรของพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า “พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์”6 “พระองค์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้าผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา”7 พระองค์ทรงเป็น “ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์”8 พระองค์ทรง “ปรากฎพระองค์ในสภาพมนุษย์”9 ในพระองค์ “สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์”10 และ “เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตา และไม่ประจักษ์แก่ตา”11
พระเยซูตรัสถึงพระองค์เองว่า “...ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา...”12 “ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา”13 และ “เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”14
ถึงแม้ว่าพระเยซูคริสต์จะทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ด้วย พระองค์ทรงหิว ทรงนอนหลับ ทรงร้องไห้ ทรงรับประทาน ทรงอดทนกับความยากลำบากทุกอย่างที่เราต้องเผชิญและบางสิ่งที่เราไม่ต้องเผชิญ ดังนั้นพระคัมภีร์จึงกล่าวว่าพระองค์นั้นทรงสามารถ “เห็นใจ ในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป”15
ดังนั้นพระเจ้าในพระคัมภีร์ไม่ได้ทรงหนีพ้นจากความเจ็บปวด การทนทุกข์ทรมานและสิ่งเลวร้ายที่เราได้รับในฐานะที่เราเป็นมนุษย์เลย พระองค์ทรงอดทนกับสถานการณ์ในชีวิตเฉกเช่นเราทั้งหลาย ความจริงแล้ว ทรงมีชีวิตบนโลกนี้ในสถานะที่ต่ำต้อยด้วยซ้ำไป ทรงถือกำเนิดมาในครอบครัวที่ยากจน ร่างกายของพระองค์ก็ไม่ได้น่ามอง ทรงต้องเผชิญกับอคติและความเกลียดชัง แม้เพื่อนและคนในครอบครัวก็เข้าใจพระองค์ผิดไป และทรงถูกตัดสินลงโทษอย่างไม่ถูกต้องเลย
มนุษย์เกือบทุกคนต้องการที่จะได้รับการยอมรับและความรัก เราต้องการที่จะให้คนอื่นมาห่วงใยเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่ แค่คำพูดลอยๆเท่านั้น เราต้องการความห่วงใยและความ เอาใจใส่จากเขาซึ่งได้พิสูจน์ออกมาเป็นการกระทำ เราต้อง การให้พระเจ้าเป็นอย่างนี้กับเราไหม? มันคงจะเยี่ยมยอด มาก หากว่าพระเจ้าทรงห่วงใยเราอย่างแท้จริงและทรงมี บทพิสูจน์ความรักของพระองค์ด้วยสิ่งที่เราสัมผัสได้ คุณว่า จริงไหม?
พระเจ้าในพระคัมภีร์ทรงห่วงใยในเราจริงๆ พระองค์ตรัส หลายครั้งในพระคำของพระองค์ พระคัมภีร์บอกกับเราว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก”16 แต่คำพูดเท่านั้นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยเท่ากับการกระทำ นั่นทำให้พระเจ้าในพระคัมภีร์ทรงไม่เหมือนใครและพระองค์เยี่ยมยอดอย่างยิ่ง พระองค์ทรง แสดง ให้เราเห็นจริงๆว่าทรงห่วงใยเรามากแค่ไหน...
“โดยข้อนี้ ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าได้ทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ มิใช่ที่เรารัก
พระเจ้าในพระคัมภีร์ทรงกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความสมบูรณ์และความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ “พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย”19 และเพราะพระองค์ทรงเป็นเช่นนั้น พระองค์จึงทรงปรารถนาความสัมพันธ์ที่สะอาดและบริสุทธิ์ ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อทำหนทางที่จะให้เราสะอาดต่อพระพักตร์พระองค์ พระเยซูทรงดำเนินพระชนม์ชีพอย่างถูกต้องตามหลักศีลธรรมทุกอย่างและทรงถูกเฆี่ยนตี ถูกทรมานและถูกตรึงที่กางเขน เพื่อเป็นการจ่ายแทนสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำหรือความคิดที่ไม่ถูกต้องของเรา (พระคัมภีร์เรียกสิ่งนี้ว่า ความบาป) หมายความว่า พระองค์ทรงทนรับสิ่งเหล่านั้นเพื่อเรา แทนเรา “พระเจ้าได้ทรงกระทำให้พระองค์ผู้ทรงไม่มีบาป ให้บาปเพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์”20 “เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง และพระเจ้าทรงวางลงบนท่านซึ่งความบาปผิดของเราทุกคน”21
พระเจ้าทรงห่วงใยเรามากพอที่จะทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาสิ้นพระชนม์แทนความบาปของเราทุกคน พูดได้ว่า พระเจ้าทรงต้องการที่จะรู้จักเราอย่างมาก พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะทำสิ่งใดก็ได้ที่จำเป็น ซึ่งการจัดการกับความบาปของเราเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ตอนนี้เราจึงได้รับการอภัยโทษบาปอย่างสมบูรณ์และเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างที่ไม่มีสิ่งใดกั้นขวางได้
คุณคิดว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกนี้ พิสูจน์ว่าพระเจ้า ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและผู้ทรงฤทธานุภาพ ไม่ได้มีจริงๆ ใช่หรือไม่? คุณไม่จำเป็นต้องคิดเช่นนั้นเลย แม้พระเจ้าผู้ สมบูรณ์แบบอาจจะทรง อนุญาต ให้สิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้นได้ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ที่สูงส่งยิ่งกว่าของพระองค์ พระเจ้าทรงล่วงรู้อย่างชัดเจน ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในทุกๆเวลา และทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น สิ่งเหล่านั้นทั้งสิ้นคือส่วนหนึ่งของแผนการใหญ่ของพระองค์
พระเจ้าในพระคัมภีร์คือ ผู้ซึ่งกล่าวอ้างว่าไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้น ในโลกนี้ เกิดได้โดยปราศจากการอนุมัติจากพระองค์ พระองค์ทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่งอย่างแท้จริง“ผู้ใดจะ สั่งและให้เป็นไปได้ นอกจากเมื่อพระเจ้าทรงสถาปนาให้เป็นไป”22 “ผู้แจ้งตอนจบให้ทราบตั้งแต่เริ่มต้น และแจ้งถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำเลยให้ทราบตั้งแต่กาลโบราณ กล่าวว่า ‘แผนงานของเราจะยั่งยืน และเราจะทำให้ความประสงค์ของเราสำเร็จทั้งสิ้น’23 “คำปรึกษา(แผนการ)ของพระเจ้าตั้งมั่นคงเป็นนิตย์ พระดำริในพระทัยของพระองค์อยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์”24 “ในใจของมนุษย์มีแผนงานเป็นอันมาก แต่พระประสงค์ของพระเจ้านั่นแหละจะดำรงอยู่ได้”25
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูทรงบอกให้สาวกของพระองค์อธิษฐาน ประโยคหนึ่งที่เหมือนเป็นประโยคหลัก ก็คือ “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นในแผ่นดินโลก”26 น้ำพระทัยที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมของพระเจ้าถูกทำให้สำเร็จในสวรรค์แต่ไม่ใช่ในโลกนี้ พระเจ้าทรงครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่งก็จริงอยู่ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงชอบพระทัยกับทุกสิ่งที่เป็นไปในโลกนี้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พระองค์ทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น(เป็นน้ำพระทัยแบบทรงอนุญาต) บางทีนี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเจตจำนงเสรีที่เรามีในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็เป็นไปได้
แต่พระเจ้าในพระคัมภีร์ทรงมีแผนการของพระองค์ และจะไม่ทรงหยุดพักจนกว่า “พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ ตามพระเจตนาแห่งพระหฤทัยของพระองค์”27 แล้วแผนการนั้นคืออะไร? เป้าประสงค์สูงสุดของพระองค์ก็คือ การสถิตอยู่กับมนุษย์ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับสภาพแวดล้อมที่เราประสบอยู่ในปัจจุบันนี้ สำหรับโลกใหม่นั้น พระเจ้าพระองค์นี้ตรัสว่า “ดูเถิด พลับพลา(บ้าน)ของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับเขา เขาจะเป็นชนชาติของพระองค์และพระเจ้าเองจะประทับอยู่กับเขา พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ... ดูเถิดเราสร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่”28
ถ้าคุณคิดถึงงานหรือโครงการสำคัญที่คุณทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันคงจะมีความหมายกับคุณทีเดียวที่เห็น งานนั้นสำเร็จลงได้ คุณอยากให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นในภาพรวมของชีวิตคุณไหม? คุณอยากให้ชีวิตคุณมีความหมายเช่นนั้นไหม? มันจะเป็นเพราะพระเจ้า หรือเปล่า ที่ทรงสร้างชีวิตของคุณอย่างมีเป้าหมายและทรงสามารถที่ จะเป็นผู้นำคุณให้มีประสบการณ์กับเป้าหมายชีวิตนั้น?
ถูกต้องแล้ว พระเจ้าในพระคัมภีร์นั้นทรงสามารถทำได้ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทำให้ชีวิตของเรามีความหมายและเปี่ยมด้วยเป้าหมายได้ โดยผ่านทางความสัมพันธ์กับพระองค์ เราสามารถที่จะ “ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าทรงดำริล่วงหน้าไว้ให้เรากระทำ”29 เราสามารถนำความเปลี่ยนแปลงในทางบวกให้เกิดขึ้นในชีวิตของผู้อื่นได้ เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งในแผนการใหญ่ของพระเจ้าได้
พระเจ้าในพระคัมภีร์ยังตรัสอีกว่า ในความสัมพันธ์วันต่อวันกับพระเจ้า พระองค์ทรงสามารถที่จะนำย่างเท้าของเราให้ทำในสิ่งที่พอพระทัยของพระองค์และที่สิ่งนั้นก็จะเกิดผลดีต่อเราตลอดเวลาได้ “จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”30 แต่นี่ไม่ได้กำลังจะบอกว่าชีวิตของคุณจะสมบูรณ์แบบทั้งหมด คุณยังต้องประสบกับความป่วยไข้ หรือปัญหาและความล้มเหลวอยู่ ชีวิตจะไม่ได้สมบูรณ์แบบเช่นนั้น แต่จะเป็นชีวิตที่มีคุณค่ามากขึ้น ประโยชน์ในการรู้จักกับพระเจ้าคือสิ่งเหล่านี้ “ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน”31
ไม่เพียงแต่ความรักและการยอมรับเท่านั้นที่พวกเราส่วนใหญ่ แสวงหา แต่เป็นการเติมเต็มที่แท้จริงในชีวิตด้วย สิ่งนี้ดูเหมือน จะมีความเกี่ยวข้องกันกับความกระหายที่ต้องการการดับ กระหาย ในความกระหายนั้น แม้ว่าเราจะพยายามหาสิ่ง ต่างๆมาตอบสนอง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเงินทอง ทรัพย์สิน ความรัก หรือแม้แต่ความสนุกสนาน สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำ ให้เรามีความพึงพอใจอย่างแท้จริงได้เลย ดังนั้นมันจะดีไหม หากเรามีพระเจ้าผู้สถิตอยู่ในชีวิตของเรา ผู้ที่สามารถทำให้“ความกระหาย” ของเราหมดไปได้ พระเจ้าผู้นำมาซึ่งความพึงพอใจในชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น?
พระเจ้าในพระคัมภีร์ได้ทรงเสนอชีวิตที่เต็มเปี่ยมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ให้กับเรา พระเยซูตรัสว่า “เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์”32 พระองค์ยังได้ตรัสอีกว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย”33 ดังนั้นพระเจ้าในพระคัมภีร์ได้ทรงสัญญาว่า จะดับความกระหายแห่งส่วนลึกในจิตใจ ซึ่งดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะทำให้จุใจได้ (และพระองค์คงจะทรงสร้างเราให้เป็นอย่างนั้นด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึง ไม่มีอะไรที่สามารถดับความกระหายนั้นของเราได้)
เมื่ออ้างอิงตามพระคัมภีร์แล้ว เราพบว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และพระผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งอยู่เพียงพระองค์เดียวด้วย แต่พระเจ้าองค์นั้นคือพระเจ้าในอุดมคติ เราไม่สามารถที่จะหาพระเจ้าแบบนี้ได้จากที่ไหน อีกแล้ว แต่ถึงแม้ว่าเราจะหาได้ เราจะไปหาอีกทำไม? ก็พระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์นี้แหละ ทรงเป็นพระเจ้าที่ เยี่ยมยอดที่สุด
บทความนี้เพียงแค่สิ่งที่สะกิดเพียงตื้นๆ ให้คุณเห็นว่าพระเจ้าในพระคัมภีร์นั้นทรงเป็นอย่างไร ถ้าหากคุณมีความปรารถนาที่จะสืบค้นมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วละก็ คุณสามารถอ่านได้จากหนังสือชื่อ “ยอห์น”ที่อยู่ในพระคัมภีร์ ถ้าคุณมีความจริงใจ และพระเจ้าในพระคัมภีร์นั้นมีอยู่จริง คุณคิดว่ามันน่าจะสมเหตุสมผลไหมที่พระองค์จะเปิดเผยพระองค์เองกับคุณ? พระองค์ตรัสว่า “เรารักบรรดาผู้ที่รักเรา และบรรดาผู้ที่แสวงเรา ก็พบเรา”34 “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน”35
คุณกำลังสงสัยไหมว่า คุณจะรู้จักพระเจ้าในอุดมคตินี้ได้อย่างไร? อธิบายได้ง่ายๆอย่างนี้ว่า การเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเจ้า มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับ การแต่งงาน มันเกี่ยวข้อง กับการตัดสินใจที่คุณเต็มใจจะเข้าสู่ความสัมพันธ์นั้น ความสัมพันธ์กับพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน มันขึ้นอยู่กับ การที่คุณพูดกับพระองค์อย่างจริงใจว่า “ฉัน/ผม ยอมรับพระองค์”
พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา และทรงเป็นขึ้นมาจากความตายสามวันหลังจากนั้น และทุกวันนี้ก็ยังทรงพระชนม์อยู่ ตอนนี้พระองค์ทรงเสนอชีวิตใหม่ให้กับเรา ถ้าเราจะไว้วางใจว่า พระองค์ทรงอภัยโทษบาปให้แก่เรา “เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตนิรันดร์และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย”36
พระเจ้าไม่ได้ทรงเลือกเขาเลือกเรา มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ดังนั้นในครอบครัว นิรันดร์ของพระองค์ พระคัมภีร์พรรณนาไว้เช่นนี้ว่า “...คนมากมายเหลือคณนามาจากทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติ ทุกภาษา...”37 และไม่มีความบาปใดในชีวิตของคุณที่สามารถกักขังคุณไม่ให้รู้จักกับพระเจ้าได้ พระเจ้า ทรงจัดการเกี่ยวด้วยเรื่องความบาปของเราทั้งสิ้นแล้วบนไม้กางเขน เมื่อพระเยซูทรงถูกตรึง ตอนนี้มันก็เป็นตัวคุณนั่นแหละ ที่จะไว้วางใจในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูแทนคุณหรือเปล่า ไม่ว่าสิ่งที่คุณทำในอดีตจะเป็นอะไรก็ตาม
เมื่อคุณได้เริ่มต้นความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าแล้ว ความสัมพันธ์นี้จะยั่งยืนตลอดไปจนถึงนิรันดร์กาล แต่มันก็ยังมีความหมายว่า ความสัมพันธ์นี้จะสดใสและมีชีวิตชีวาในชีวิตปัจจุบันของคุณด้วย มันจะเติบโตขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และก็เหมือนในความสัมพันธ์ทั่วๆไป มันจะมีขึ้นและมีลง มีทั้งดีและไม่ค่อยดี มีทั้งสุขและทุกข์ แต่คุณจะได้อยู่ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ผู้ซึ่งทรงสร้างคุณมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ(คือให้รู้จักกับพระองค์)
คุณรู้สึกว่า พระเจ้ากำลังสัมผัสใจของคุณอยู่ไหม? พระเยซูตรัสว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น”38 ถ้าหากคุณอยากเชื้อเชิญให้พระเจ้าเข้ามาในชีวิตของคุณในเวลานี้ นี่คือคำอธิษฐานที่ได้แนะนำไว้เพื่อจะให้แนวทางแก่คุณ(แต่สิ่งที่สำคัญนั้นไม่ใช่คำพูดที่ชัดเจนสวยหรูแต่เป็นความจริงใจของคุณเอง):
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอสารภาพว่า ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงนำความบาปทั้งหลายของข้าพเจ้าไปไว้ที่พระองค์โดยพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น ข้าพเจ้าต้องการรับเอาการอภัยโทษของพระองค์และเข้าสู่การมีความสัมพันธ์กับพระองค์ ข้าพเจ้าขอให้พระองค์เสด็จเข้ามาในชีวิตของข้าพเข้าในฐานะของพระผู้ช่วยให้รอดและเจ้าชีวิต และเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอทรงกระทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นไปตามที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เป็นด้วยเถิด
ถ้าคุณต้องการทราบมากขึ้นเกี่ยวกับการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ให้คลิกไปที่ รู้จักกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว เราอยากจะทราบว่า คุณได้ตัดสินใจต้อนรับพระเจ้าไปเมื่อสักครู่แล้วหรือไม่ ถ้าคุณได้ทำแล้ว กรุณา ติดต่อเรา และถ้าหากคุณมีคำถามที่ผุดขึ้นมาระหว่างที่อ่านบทความนี้ หรือต้องการทราบข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับการรู้จักกับพระเจ้า หรือต้องการพบปะพูดคุยกับคริสเตียนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยของคุณ ช่วยส่งอีเมลมาหาเรา
► | ฉัน/ผมได้เชิญพระเยซูให้เข้ามาในชีวิต (มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ดังต่อไปนี้) |
► | ฉัน/ผม อาจจะอยากเชิญให้พระเยซูเข้ามาในชีวิต กรุณาอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้ |
► | ฉัน/ผม มีคำถาม หรือ ความคิดเห็น |
(1) อิสยาห์ 45:12 (2) อิสยาห์ 46:9 (3) วิวรณ์1:8 (4) ยอห์น17:3 (5) ยอห์น 1:1,14 (6) ฮีบรู1:3 (7) โคโลสี 1:15 (8) อิสยาห์9:6 (9) ฟิลิปปี 2:8 (10) โคโลสี 2:9 (11) โคโลสี 1:16 (12) ยอห์น14:9 (13) ยอห์น 12:45 (14) ยอห์น 10:30 (15) ฮีบรู 4:15 (16) 1 ยอห์น 4:8,16 (17) 1 ยอห์น 4:9-10 (18) ยอห์น 3:16 (19) 1 ยอห์น 1:5 (20) 2 โครินธ์ 5:21 (21) อิสยาห์ 53:6 (22) บทเพลงคร่ำครวญ 3:37 (23) อิสยาห์ 46:10 (24) สดุดี 33:11 (25) สุภาษิต 19:21 (26) มัทธิว 6:10 (27) เยเรมีย์ 23:20 (28) วิวรณ์ 21:3-5 (29) เอเฟซัส 2:10 (30) สุภาษิต3:6 (31) กลาเทีย 5:22-23 (32) ยอห์น 10:10 (33) ยอห์น 6:35 (34) สุภาษิต 8:17 (35) มัทธิว7:7 (36) ยอห์น 6:40 (37) วิวรณ์ 7:9 (38) วิวรณ์ 3:20