×
ค้นหา
EveryThaiStudent.com
ค้นหาเรื่องพระเจ้าและคำถามในชีวิต
รู้จักพระเจ้า

ความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์

การบรรยายลักษณะของศาสนาและลัทธิความเชื่อใหญ่ๆของโลก: ศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม คริสต์ศาสนา และลัทธินิวเอจ

WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More PDF

เขียนโดย มาริลิน แอดัมสัน

เราทุกคนอยากดำเนินชีวิตที่ประสบความสำเร็จในระดับใดระดับหนึ่ง ด้วยความรู้สึกที่ว่าวิธีการดำเนินชีวิตของเรานั้นถูกต้อง และถ้ามีคนบอกแก่เราว่า เขาได้พบวิธีการมีชีวิตที่น่าพึงพอใจหรือมีความหมายแล้ว สิ่งที่เราน่าจะทำ อย่างน้อยก็ควรเข้าไปดูว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เขากล่าวนั้นเป็นอย่างไร แล้วศาสานาใหญ่ๆของโลกล่ะ กล่าวถึงเรื่องการดำเนินชีวิตไว้ว่าอย่างไรบ้าง? ในศาสนาและความเชื่อเหล่านั้นมีอะไรบ้างไหม ที่ทำให้ชีวิต ของเรามั่นคงและมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น?

สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากศาสนาและลัทธิความเชื่อที่สำคัญของโลก นั่นก็คือ ศาสนาฮินดู ลัทธินิวเอจ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลามและคริสตศาสนา* ข้อมูลในนี้เป็นการกล่าวถึงอย่างกว้างๆของเนื้อหาหรือความเชื่อ คุณลักษณะเฉพาะของศาสนาหรือลัทธิความเชื่อนั้นๆ และสิ่ง ที่เราจะได้รับจากข้อมูลเหล่านี้ หลังจากนั้นผู้เขียนจะอธิบายว่าคำสอนของพระเยซูแตกต่างอย่างไรจากศาสนาหรือลัทธิความเชื่อที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านั้น เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการพิจารณาของคุณเอง

*ระบบของศาสนาเหล่านี้มีถูกแบ่งด้วยความเชื่อที่แตกต่างกัน สิ่งที่จะอธิบายในบทความนี้ เน้นไปที่หัวใจของระบบความเชื่อนั้นๆ ศาสนาหรือลัทธิความเชื่ออื่นๆ เช่นลัทธิยูดาห์ เราสามารถจะพูดคุยได้ด้วยเช่นกัน แต่ในที่นี้เลือกเฉพาะศาสนาและลัทธิความเชื่อเหล่านี้เท่านั้น

ศาสนาฮินดู

ชาวฮินดูส่วนมากนับถือเทพศูนย์รวมผู้สูงสุดองค์หนึ่ง คือพระพรหม ซึ่งมีหลายพระภาคด้วยกันทั้งในภาคของเทพหรือพระและเทพธิดา หรือเจ้าแม่ การปรากฎองค์ที่แตกต่างกันของพระพรหม โดยผ่าน เทพธิดาและเทพบุตรเหล่านี้ได้จุติมาอยู่ใน รูปเคารพ วัดและวิหาร ผู้นำศาสนา แม่น้ำ สัตว์ต่างๆ เป็นต้น ชาวฮินดูเชื่อว่าสถานะที่พวกเขาเป็นอยู่เดี๋ยวนี้มาจากผลการกระทำ ในชาติก่อนของพวกเขา ถ้าพฤติกรรมของเขาในชาติก่อนชั่วร้ายมากๆ เขาอาจจะต้องประสบกับชีวิตที่ยากลำบากมากในชาตินี้ เป้าประสงค์ ของชาวฮินดูคือการได้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม...คือการเป็นอิสระจากวงจรของวัฏสงสาร (การเวียนว่าย ตายเกิด)

มีหนทางที่เป็นไปได้อยู่สามทาง ในการหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม: 1.อุทิศตัวด้วยใจรักต่อเทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดก็ได้ในศาสนาฮินดู 2.เพิ่มพูนขึ้นในความรู้โดยผ่านการบำเพ็ญภาวนาให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับองค์พระพรหม(แปลว่าการเป็นหนึ่งเดียว)...เพื่อที่จะระลึกได้ว่า สถานการณ์ต่างๆในชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งตัวตนของเรานั้นคือภาพลวงตาและสิ่งเดียวที่แท้จริงก้คือพระพรหมเท่านั้น 3. ทำตามระเบียบแบบแผนและ ศาสนพิธีต่างๆอย่างเคร่งครัด

ในศาสนาฮินดู ทุกคนมีเสรีภาพที่จะเลือกว่า จะไปให้ถึงความสมบูรณ์แบบทางจิตวิญญาณโดยวิธีใด และยังมีคำอธิบายที่เป็นไปได้เกี่ยวกับความทุกข์ยากและสิ่งชั่วร้ายที่มีอยู่ในโลกนี้อีกด้วย ตามความเชื่อของฮินดู ความทุกข์ที่ทุกคนประสบ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย หรือความอดอยาก หรือภัยพิบัติ เป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วกับคนๆนั้นเพราะการกระทำที่ชั่วร้ายของเขาเอง ส่วนใหญ่เป็นมาจากชีวิตในชาติก่อนของเขา จิตวิญญาณเท่านั้นที่มีความสำคัญ ซึ่งในวันหนึ่งจะเป็นอิสระจากวงจรแห่งการเกิดใหม่ และได้พักสงบ

นิวเอจ

พวกนิวเอจสนับสนุนความคิดที่ว่าคนเราสามารถที่จะพัฒนาพลัง ในตัวของเราเอง และเป็นพระเจ้าได้ เมื่อพูดถึงพระเจ้า พวกเขา จะไม่พูดถึงพระเจ้าผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง หรือพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่ง ที่เรารู้จักเป็นส่วนตัวได้ แต่จะพูดถึงพระเจ้าในลักษณะที่เป็น จิตสำนึกที่สูงส่งกว่าพวกเขา พวกที่เชื่อในลัทธินิวเอจจะมองตัว ของเขาเองว่าเป็นพระเจ้า เป็นพลังงานในจักรวาล หรือเป็นจักรวาล เลยด้วยซ้ำไป ในความเป็นจริงแล้ว ตามความเชื่อของพวกเขา ทุกอย่างที่คนๆนั้นเห็น ได้ยิน รู้สึกหรือจินตนาการได้จะถูกเรียกว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์(พระเจ้า)ทั้งสิ้น

พวกนิวเอจเลือกที่จะใช้ความหลากหลายในการอธิบายถึงความเชื่อของเขา ซึ่งถูกเรียกว่าการสะสมธรรมเนียมโบราณด้านจิตวิญญาณ พวกเขารับทราบ ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าและเทพธิดาทั้งหลาย เหมือนกับชาวฮินดู โลกนี้ถูกมองว่าเป็นแหล่งของสิ่งที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณทั้งหลาย และมีสติปัญญา อารมณ์ความรู้สึกและความเป็นพระเจ้าอยู่ในตัวของมันเอง แต่สิ่งที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือตนเอง ตนเองคือแหล่งกำเนิด ผู้ควบคุมและ พระเจ้าของทั้งหมด ไม่มีความจริงอื่นใดนอกเหนือจากที่ตนเองกำหนดให้มันมี

ลัทธินิวเอจสอนเนื้อหาที่กว้างขวาง เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับของโลกตะวันออก และจิตวิญญาณ ปรัชญาที่เกี่ยวข้องความจริงในธรรมชาติ เทคนิคเกี่ยวกับเรื่องพลังจิต ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการหายใจ การสวด การรัวกลอง การทำสมาธิ เพื่อที่จะพัฒนาความเปลี่ยนแปลงภาวะจิตและการเป็นพระเจ้าของเขาผู้นั้น

ประสบการณ์ในทางลบที่คนๆหนึ่งมี (ความล้มเหลว ความเศร้าเสียใจ ความโกรธ ความเห็นแก่ตัวและความเจ็บปวด)นั้น เป็นเพียงภาพลวงตา การเชื่อว่าตัวเขาเองคือ ผู้ที่ควบคุมอย่างสมบูรณ์เหนือชีวิตของตน ไม่มีสิ่ง ที่ไม่ถูกต้องในชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นในทางร้ายหรือเป็นความเจ็บปวดก็ตาม คนๆหนึ่งในเวลาต่อมา สามารถพัฒนาทางจิตวิญญาณจนมาถึงจุดที่ว่า ชีวิตไม่มีจุดประสงค์ใดๆ ไม่มีความเป็นจริงใดๆภายนอก คนๆนั้นได้กลายมาเป็นพระเจ้า และสร้างความเป็นจริงของเขาขึ้นมาเอง

ศาสนาพุทธ

ชาวพุทธไม่ได้นมัสการเทพเจ้าหรือพระเจ้าองค์ใดทั้งสิ้น คนที่ไม่ใช่ ชาวพุทธมักจะคิดว่า ชาวพุทธนมัสการพระพุทธเจ้า อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้า(หรือเจ้าชายสิทธถะ)ไม่เคยกล่าวอ้างว่าท่านเป็นพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ท่านในสายตาของชาวพุทธ คือผู้ที่บรรลุผลของสิ่ง ที่ชาวพุทธทุกคนต้องการจะบรรลุ นั่นคือการตรัสรู้ และด้วยสิ่งนี้นั่นเอง เขาก็จะมีอิสระจากวัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิด ชาวพุทธส่วนมาก เชื่อว่าพวกเขามีการเกิดใหม่หลายต่อหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ซึ่งก็จำเป็น ต้องเกี่ยวข้องกับการทนทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาวพุทธแสวงหาทาง ที่จะหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ ชาวพุทธเชื่อว่าการตกอยู่ในวังวนเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากความอยากมีอยากได้ ความไม่พอใจ และความมัวเมา ลุ่มหลงของคนๆนั้นเอง ดังนั้นเป้าประสงค์ของชาวพุทธก็คือการทำจิตใจให้บริสุทธ์และปล่อยวางความต้องการของสิ่งที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และการยึดติดกับตนเอง

ชาวพุทธเชื่อฟังและปฏิบัติตามหลักการต่างๆในคำสอนของศาสนา และทำสมาธิภาวนาอย่างเคร่งครัด เมื่อชาวพุทธทำสมาธิภาวนา มันจะไม่เหมือนกับการอธิษฐานหรือการเพ่งความสนใจที่พระหรือเจ้า แต่เป็นเรื่องวินัยทางฝ่ายวิญญาณมากกว่า โดยทางการฝึกฝนทำสมาธินี้คนๆหนึ่งอาจจะถึงนิพพานได้นั่นคือการ“ขจัดออกไป”ซึ่งไฟแห่งความปรารถนา

ศาสนาพุทธให้แนวทางซึ่งค่อนข้างเป็นความจริงในศาสนาต่างๆของโลก คือการมีวินัย มีค่านิยมที่ดีและให้มีทิศทาง ซึ่งคนทั่วไปอาจจะต้องการที่จะดำเนินชีวิตตามแนวทางนั้น

ศาสนาอิสลาม

ศาสนาอิสลามเชื่อว่ามีพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์เดียวซึ่งพวกเขา เรียกว่า องค์อัลเลาะห์ ผู้เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ผู้อยู่เหนือกว่ามวล มนุษยชาติ องค์อัลเลาะห์นั้นถูกมองว่าเป็นผู้สร้างจักรวาลทั้งสิ้น และเป็นแหล่งของทั้งความดีและความชั่วร้ายทั้งมวล ทุกสิ่งที่เกิด ขึ้นเป็นเจตจำนงขององค์อัลเลาะห์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรง มีฤทธิ์มากและเป็นผู้พิพากษาที่เข้มงวด ผู้ที่จะแสดงความเมตตา ต่อผู้ติดตามของพระองค์ ตามการกระทำความดีอย่างเพียงพอ และการอุทิศตัวให้แก่ศาสนา ความสัมพันธ์ของผู้ติดตามองค์อัลเลาะห์และตัวพระองค์เอง เหมือนกับพวกเขาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์

แม้ว่าชาวมุสลิมจะยกย่องผู้พยากรณ์ท่านอื่นๆ แต่ถือว่าท่านมูฮัมหมัดคือผู้พยากรณ์คนสุดท้าย คำสอน และวิถีการดำเนินชีวิตของท่านถือว่ามีสิทธิอำนาจ การเป็นมุสลิม คือคุณต้องถือหน้าที่ทางศาสนา 5 อย่างด้วยกัน
1.ทบทวนข้อบัญญัติทางศาสนาเกี่ยวกับองค์อัลเลาะห์และท่านมูฮัมหมัด 2.มีการละหมาดโดยท่องจำคำสวดภาษาอารบิค ห้าครั้งต่อวัน 3.ให้ทานแก่คนยากจน 4.หนึ่งเดือนของแต่ละปี(รอมาดอน)ให้มีการงดอาหาร เครื่องดื่ม การมีเพศสัมพันธ์และการสูบบุหรี่ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก 5.ไปแสวงบุญหนึ่งครั้งในชีวิต เพื่อร่วมนมัสการที่สถานศักดิ์สิทธิ์ในนครเมกกะ ชาวมุสลิม เมื่อตาย ก็หวังที่จะได้ไปอยู่ที่สวรรค์ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติตามหน้าที่ ถ้าไม่ได้ไปสวรรค์ เขาก็ต้องได้รับโทษเป็นนิรันดร์ในนรก

สำหรับหลายๆคน ศาสนาอิสลามทำให้ความคาดหวังเกี่ยวกับศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ดูไปด้วยกันได้ ศาสนาอิสลามสอนว่า มีพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์เดียว ผู้ซึ่งรับการนมัสการโดยการกระทำความดีและวินัยในการทำตามพิธีกรรมต่างๆทางศาสนาของพวกผู้ติดตาม หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว คนๆนั้นจะได้รับรางวัลหรือรับการลงโทษ ขึ้นอยู่กับการอุทิศตัวให้แก่ศาสนาของเขาผู้นั้น

คริสตศาสนา -- ความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์

คริสเตียนเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก ซึ่งทรงสำแดงพระองค์ เองแก่เราและทรงให้เรารู้จักเป็นการส่วนตัวในชีวิตนี้ได้ คริสเตียน ไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่พิธีกรรมทางศาสนาหรือการกระทำความดี แต่ความสนใจอยู่ที่ การชื่นชมในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเติบโต ในการรู้จักกับพระองค์มากขึ้นโดยทางพระเยซูคริสต์ การมีความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์ไม่ใช่แค่ที่คำสอนของพระองค์เท่านั้น เป็นวิธีที่คริสเตียนจะประสบกับความชื่นชมยินดีและชีวิตที่มีความหมาย เมื่อพระเยซูยังทรงดำเนินพระชนม์อยู่บนโลก พระองค์ไม่เคยกล่าวถึงตนเองว่า ทรงเป็นผู้พยากรณ์ที่ชี้ให้คนเห็นพระเจ้า หรือทรงกล่าวว่าตนเอง คือพระอาจารย์ที่สอนหนทางการตรัสรู้ พระองค์ทรงกล่าวอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้าที่มาเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ ยกโทษความผิดบาปของผู้คน และตรัสว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พระองค์ตรัสประโยคนี้ว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”1

พวกคริสเตียนถือว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์คือข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษรของพระเจ้าที่ทรงมีมาถึงมวลมนุษย์ พระคัมภีร์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชีวิตและการอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ เท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่เปิดเผยให้เราเห็นถึงพระลักษณะของพระเจ้า ความรักและความจริงของพระองค์ และวิธีที่คนหนึ่งคนใดจะมีความสัมพันธ์กับพระองค์ได้

ไม่ว่าคริสเตียนต้องเผชิญกับสถานการณ์อะไรในชีวิต พวกเขาสามารถหันเข้าหาพระเจ้าผู้ทรงมีสติปัญญาและ ฤทธานุภาพ ผู้ซึ่งทรงรักพวกเขาอย่างแท้จริงได้ อย่างมั่นใจเสมอ พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานและชีวิตของพวกเขาจะมีความหมาย ถ้าหากเขาดำเนินชีวิตอย่างเป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

ศาสนาต่างๆของโลกมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างไรบ้าง?

เมื่อมองดูที่ระบบของความเชื่อและความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า ของแต่ละศาสนาและลัทธิความเชื่อหลักๆของโลกแล้ว เราพบว่ามีความหลากหลายอยู่มากทีเดียว คือ

  • ศาสนาฮินดูรับรู้ว่ามีเทพเจ้าอยู่มากมาย
  • ศาสนาพุทธบอกว่าไม่มีพระเจ้า
  • พวกที่ติดตามลัทธินิวเอจเชื่อว่าพวกเขาคือพระเจ้า
  • พวกมุสลิมเชื่อในพระเจ้าที่มีฤทธิ์อำนาจและไม่สามารถรู้จักพระเจ้าองค์นี้ได้
  • คริสเตียนเชื่อในพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก และเป็นผู้ที่เราสามารถเข้าถึงพระองค์ได้

แล้วคนในทุกศาสนาหรือความเชื่อนมัสการพระเจ้าองค์เดียวกันหรือไม่? ให้ลองมาพิจารณากันดู พวกนิวเอจสอนว่าทุกคนควรจะเพ่งความสนใจไปที่ภาวะทางจิตที่เกี่ยวข้องกับจักรวาล แต่คำสอนเช่นนั้นก็จะทำให้ชาวมุสลิมต้องละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวของพวกเขา ชาวฮินดูก็ต้องทิ้งความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าหลายองค์ของพวกเขา และชาวพุทธก็ต้องวางความเชื่อใหม่ที่ว่ามีพระเจ้าอยู่จริง

ศาสนาและลัทธิความเชื่อหลักๆของโลก(ฮินดู นิวเอจ พุทธ อิสลามและพวกผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์) แต่ละความเชื่อต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งสิ้น แต่มีอยู่ความเชื่อหนึ่ง ที่ยืนยันว่ามีพระเจ้าผู้ที่ทรงเป็นบุคคล ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความรัก เป็นผู้ซึ่งเรารู้จักได้ในชีวิตนี้ พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึง พระเจ้าผู้ที่ต้อนรับเราเข้าสู่ความ สัมพันธ์กับพระองค์ และจะทรงอยู่เคียงข้างเราในฐานะพระผู้ปลอบประโลม ที่ปรึกษาและผู้ทรงฤทธานุภาพ ผู้ที่ทรงรักเรา

ในศาสนาฮินดู คนเราต้องพยายามด้วยตัวเองที่จะหลุดพ้นจากกรรม ในลัทธินิวเอจ คนเราต้องทำตัวของเราเองให้เป็นพระเจ้า ในพุทธศาสนาก็ต้องเป็นการพยายามของตนเองที่จะเป็นอิสระจากความปรารถนาของตน ในศาสนาอิสลาม คนเราต้องทำตามหลักเกณฑ์ของศาสนา เพื่อจะได้ไปสวรรค์หลังจากความตาย ในการสอนของพระเยซู คุณจะเห็น การมีความสัมพันธ์เป็นส่วนตัวกับพระเจ้าที่ทรงเป็นบุคคล และความสัมพันธ์นั้นดำเนินจากชีวิตนี้ต่อไปจนถึงชีวิตหน้า

แล้วคนเราจะเข้าถึงพระเจ้า ขณะที่ยังอยู่ในชีวิตนี้ได้ไหม?

คำตอบก็คือ ได้ ไม่ใช่แค่ที่คุณจะเข้าถึงพระเจ้าได้เท่านั้น แต่คุณยังสามารถที่จะรู้ได้ด้วยว่า คุณเป็นที่รักและเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า

ศาสนาและลัทธิความเชื่อต่างๆส่วนใหญ่ จะมีคำสอนที่ว่าคุณต้องทำด้วยตัวของคุณเอง การพยายามอย่างหนัก ที่จะบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบทางวิญญาณ ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้า ท่านไม่เคยกล่าวอ้างว่าท่านปราศจากบาป ท่านมูฮัมหมัดก็ยอมรับด้วยว่าท่านเองต้องการการยกโทษบาป “ไม่ว่าท่านผู้พยากรณ์ ผู้นำทางศาสนาหรือพวกอาจารย์เหล่านั้น จะฉลาดแค่ไหน หรือมีพรสวรรค์มากแค่ไหน หรือมีอิทธพลมากแค่ไหน ท่านเหล่านั้น ก็ตระหนักถึงตัวของท่านเองดีว่า พวกท่านไม่ได้สมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับพวกเรา”2

อย่างไรก็ตาม พระเยซูคริสต์ ไม่เคยตรัสเป็นนัยถึงความบาปในส่วนของพระองค์เลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์ทรงยกโทษบาปให้คนอื่นๆ และทรงต้องการที่จะยกโทษบาปให้กับเราด้วย เราทุกคนรับรู้ถึงความผิดของเรา มีชีวิตในบางด้าน ที่อาจทำให้คนอื่นมองเราว่าไม่ค่อยมีคุณค่าสักเท่าไหร่ บางด้านของชีวิตที่เราหวังว่ามันไม่ได้มีอยู่ที่นั่น...มันอาจจะเป็นการติดอะไรบางอย่าง อารมณ์ที่ร้ายของเรา ความไม่บริสุทธิ์ คำพูดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง พระเจ้าทรงรักเราแต่ทรงเกลียดความบาป และพระองค์ก็ได้ตรัสว่าผลเนื่องมาจากบาปของเรา คือการถูกตัดขาดจากการรู้จักกับพระองค์...แต่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมหนทางที่เราจะได้รับการอภัยโทษบาป และได้รู้จักกับพระองค์ พระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า ได้ทรงลงมาเป็นมนุษย์ รับเอาความบาปทั้งหมดของเราไว้ที่พระองค์ ทรงทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน และทรงเต็มพระทัยที่จะสิ้นพระชนม์แทนเรา พระคัมภีร์กล่าวว่า “ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย...”3

พระเจ้าทรงเสนอการอภัยโทษบาปอย่างสมบูรณ์ให้กับเรา เพราะการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเพื่อเรา สิ่งนี้หมายถึงการอภัยโทษบาปทั้งหลายของเรา ไม่ว่าจะเป็นในอดีต ในปัจจุบันและในอนาคต พระเยซูทรงจ่ายแทนความบาปเหล่านั้นทั้งสิ้นแล้ว พระเจ้าผู้ทรงสร้างกัลปจักรวาล ทรงรักเราและต้องการที่จะมีความสัมพันธ์กับเรา “โดยข้อนี้ ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร”4

โดยทางพระคริสต์ พระเจ้าทรงเสนอ ความเป็นอิสระจากบาปและความรู้สึกผิดให้แก่เรา พระองค์ไม่ได้ปล่อย ให้มนุษย์ต้องแบกรับเอาความล้มเหลวของตัวเองไว้ ด้วยความหวังที่ริบหรี่เต็มทีว่า พวกเขาจะเป็นคนที่ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ในพระเยซูนั้น...พระเจ้าทรงเอื้อมลงมาหามนุษย์ด้วยการจัดเตรียมหนทางที่เราจะรู้จักกับพระองค์ได้ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”5

พระเจ้าทรงต้องการให้เรารู้จักกับพระองค์

เราถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าเพื่อให้มีชีวิตที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย...ผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย”6 พระเยซูทรงเรียกให้ผู้คน ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่งสอนของพระองค์เท่านั้น แต่ให้ติดตามพระองค์ด้วย พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต”7 ในการกล่าวอ้างว่าทรงเป็นความจริง พระคริสต์ได้ตรัสมากยิ่งกว่าที่พวกผู้พยากรณ์ได้กระทำเพราะพวกเขาพูดแต่เพียงว่า พวกเขาพูดความจริง(ไม่ได้พูดว่าตัวเขาคือความจริงดังเช่นที่พระเยซูได้ตรัส)8

พระเยซูทรงสำแดงพระองค์เองว่าเป็นพระเจ้าทั้งด้วยคำพูดและทรงพิสูจน์ด้วยการกระทำ พระองค์ตรัสว่าพระองค์จะทรงถูกตรึงที่กางเขนและหลังจากที่สิ้นพระชนม์แล้วสามวัน พระองค์จะกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าจะมาเกิดใหม่ชาติหน้า (ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริง ใครบ้างจะล่วงรู้ว่าพระองค์ได้ทรงทำอย่างนั้นจริงหรือเปล่า?) พระเยซูตรัสว่าสามวันหลังจากถูกฝังไว้ พระองค์จะทรงปรากฎตัวแบบที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อหน้าเขาเหล่านั้นที่ได้เห็นการถูกตรึงที่กางเขน...ในวันที่สามนั้น อุโมงค์ที่ฝังพระศพของพระองค์นั้น ก็ว่างเปล่า และคนหลายคนยืนยันว่าพวกเขาได้เห็นพระเยซูทรงกลับมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้พระองค์ทรงให้ข้อเสนอคือชีวิต นิรันดร์แก่เรา

ไม่เหมือนกับหลายศาสนาในโลกนี้...

หลายศาสนาให้ความสนใจไปที่ความพยายามทางฝ่ายจิตวิญญาณของแต่ละบุคคล แต่กับพระเยซูเป็นอีกแบบหนึ่ง มันเป็นการมีสื่อสัมพันธ์สองทางระหว่างคุณกับพระเจ้า พระองค์ทรงต้อนรับคุณให้เข้าไปหาพระองค์ด้วยความยินดี “พระเจ้าทรงสถิตใกล้ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ด้วยใจจริง”9 คุณสามารถสื่อสารกับพระเจ้าผู้ซึ่งทรงตอบคำอธิษฐานของคุณ ประทานสันติสุขและความชื่นฃมยินดี และทรงจัดเตรียมแนวทางให้แก่คุณ แสดงความรักของพระองค์และทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ “เราได้มา เพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์”10 แต่มันไม่ได้หมายความว่า ชีวิตของคุณจะสมบูรณ์แบบและปราศจากปัญหาเมื่อคุณรู้จักกับพระเจ้า มันหมายความอย่างนี้ว่าในสถานการณ์ต่างๆของชีวิต คุณสามารถที่จะสื่อสารกับพระเจ้าผู้ซึ่งเต็มพระทัยที่จะมีส่วนในชีวิตของคุณ และทรงเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อความรักของพระองค์ ที่ทรงมี ต่อคุณด้วย

สิ่งที่ว่านี้ไ ม่ใช่ การอุทิศตัวทำตามวิธีการพัฒนาตนเอง อย่างเช่น หนทางของมรรคแปด(ในศาสนาพุทธ) หรือ เสาหลักแห่งความเชื่อทั้งห้า(ในศาสนาอิสลาม) หรือการทำสมาธิภาวนา หรือการกระทำความดี หรือแม้แต่การทำตามบัญญัติสิบประการ แต่อย่างใดเลย หนทางเหล่านั้นที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น มันดูเหมือนเป็นหนทางที่ชัดเจน มีคำอธิบายที่ดี ง่ายต่อการปฏิบัติสำหรับจิตวิญญาณ แต่มันได้กลายเป็นภาระในการพยายามอย่างหนักที่จะทำตัวให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ และการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าก็ดูเหมือนจะยังห่างไกลอยู่ ความหวังของเรา ไม่ได้อยู่ที่การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือมาตรฐาน แต่เป็นการรู้จักกับพระผู้ช่วยให้รอดผู้ซึ่งยอมรับเราอย่างเต็มที่ เพราะความเชื่อศรัทธาที่เรามีในพระองค์และในการเสียสละของพระองค์เพื่อเรา เราไม่ได้ทำให้ตัวเองขึ้นสวรรค์ได้ด้วยความพยายามของเราเองหรือการกระทำที่ดี สวรรค์เป็นของประทานที่ได้รับฟรีๆ เมื่อ เราเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์

คุณอยากได้รับการอภัยโทษบาปทั้งหมดของคุณ และรู้จักกับความรักของพระเจ้าสำหรับคุณเป็นส่วนตัวไหม?

เริ่มต้นความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า

คุณสามารถที่จะเริ่มความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้เดี๋ยวนี้เลย มันเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ คือทูลขอต่อพระเจ้าด้วยความจริงใจให้ยกโทษบาปของเราและเชิญพระองค์ให้เข้ามาในชีวิตของคุณ พระเยซูตรัสว่า “นี่แน่ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น”11 คุณอยากจะเริ่มต้นการมีความ สัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงสร้างคุณมา และผู้ที่มีความรักอย่างลึกซึ้งให้กับคุณไหม? คุณสามารถทำเช่นนั้นได้เดี๋ยวนี้ ถ้าสิ่งนี้เป็นความปรารถนาในจิตใจของคุณ คุณพูดอย่างนี้ว่า “พระเจ้าเจ้าข้า ข้าพเจ้าขอพระองค์ทรงโปรดยกโทษให้ข้าพเจ้า และขอเชิญพระองค์ให้เข้ามาอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้าในตอนนี้ ขอบคุณพระเยซูที่ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของข้าพเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้าแล้ว อย่างที่พระองค์ ได้ตรัสไว้ ว่าจะทรงเข้ามา หากข้าพเจ้าทูลเชิญพระองค์”

พระคัมภีร์บอกกับเราว่า “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์...พระองค์ทรงโปรดประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า”12 ถ้าหากคุณทูลเชิญพระเจ้าเข้ามาในชีวิตของคุณด้วยความจริงใจ คุณได้เริ่มต้นการมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์แล้ว มันเหมือนกับว่า คุณเพิ่งจะได้รู้จักกับพระเจ้า และพระองค์ทรงต้องการที่จะให้คุณรู้จักกับพระองค์ให้ดียิ่งๆขึ้น เพื่อจะรู้จักความรักที่ทรงมีต่อคุณ เพื่อจะนำทางคุณด้วยพระสติปัญญาของพระองค์ ไม่ว่าคุณกำลังเผชิญอยู่กับสถานกาณ์ใด ที่ต้องการการตัดสินใจก็ตาม หนังสือ“ยอห์น”ในพระคัมภีร์เป็นเล่ม ที่ดีที่คุณจะศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้ามากขึ้น คุณอาจจะต้องการบอกใครสักคนเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้ของคุณด้วย

ในศาสนาและลัทธิความเชื่อต่างๆของโลกนี้ บุคคลมีความสัมพันธ์กับคำสอน แนวความคิด หนทางและพิธีกรรมต่างๆ แต่โดยทางพระเยซู บุคคลคนนั้นสามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและทรงฤทธานุภาพ คุณสามารถพูดคุยกับพระองค์และให้พระองค์ทรงนำทางชีวิตในปัจจุบันของคุณได้ในตอนนี้ พระองค์ไม่ได้แค่ชี้หนทาง ปรัชญาต่างๆ หรือศาสนาต่างๆ ให้คุณ พระองค์ทรงยินดีให้คุณได้รู้จักกับพระองค์ ที่จะมีประสบการณ์กับความชื่นชมยินดี และมีความมั่นใจในความรักของพระองค์ ท่ามกลางความท้าทายต่างๆในชีวิต “จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่า เป็นบุตรของ พระเจ้า”13

 ฉัน/ผมได้เชิญพระเยซูให้เข้ามาในชีวิต (มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ดังต่อไปนี้)
 ฉัน/ผม อาจจะอยากเชิญให้พระเยซูเข้ามาในชีวิต กรุณาอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้
 ฉัน/ผม มีคำถาม หรือ ความคิดเห็น

(1) ยอห์น 8:12 (2) Erwin W Lutzer, Christ Among Other Gods (พระคริสต์ในท่ามกลางพระเจ้าอื่นๆ) (Chicago, Moody Press, 1994) หน้า 63 (3) 1 ยอห์น 3:16 (4) 1 ยอห์น 4:9 (5) ยอห์น 3:16 (6) ยอห์น 6:35,37 (7) ยอห์น 14:6 (8) Lutzer หน้า 106 (9) สดุดี 145:18 (10) ยอห์น 10:10 (11) วิวรณ์ 3:20 (12) ยอห์น 1:12 (13) 1 ยอห์น 3:1


แชร์ต่อกับคนอื่น:
WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More