×
ค้นหา
EveryThaiStudent.com
ค้นหาเรื่องพระเจ้าและคำถามในชีวิต
รู้จักพระเจ้า

เชื่ออย่างมีเหตุผล

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจริงหรือ? ต่อไปนี้คือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูคริสต์ และเหตุผลว่า ทำไมการเชื่อในพระองค์จึงไม่ใช่ความเชื่ออย่างงมงายไร้เหตุผล

WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More PDF

เขียนโดย พอล อี ลิทเทิล

การที่เราจะรู้อย่างแน่นอนว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่? หรือพระองค์เป็นอย่างไรนั้น? เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้ริเริ่มและสำแดงพระองค์เองแก่เรา เราจำเป็นต้องรู้ว่าพระองค์เป็นอย่างไรและความคิดของพระองค์ต่อเราเป็นอย่างไร สมมติว่า เรารู้ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่แต่ว่าพระองค์เป็นเหมือนอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้ซึ่งชอบทำอะไรตามอำเภอใจ เสื่อมทราม มีอคติและโหดร้ายแล้วละก็ การได้รู้ว่าพระเจ้าเป็นแบบนี้ คงจะเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเป็นแน่แท้

เราต้องมองไปที่ประวัติศาสตร์เพื่อที่จะหาร่องรอยบางอย่าง ของการทรงสำแดงของพระเจ้าว่ามีบ้างหรือไม่? ร่องรอยที่ชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในปาเลสไตน์เมื่อ 2000 กว่าปีมาแล้ว มีเด็ก คนหนึ่งที่เกิดมาในรางหญ้า และจนถึงทุกวันนี้ผู้คนทั่วโลกก็ยังคงมีการเฉลิมฉลองวันประสูติของคนๆนี้กันอยู่ บุคคลผู้นั้นคือก็พระเยซูนั่นเอง

พระองค์ดำเนินพระชนม์ชีพอย่างธรรมดาสามัญ จนกระทั่งทรงมีพระชนม์ได้ 30 พรรษา จากนั้นก็ทรงเริ่มพระราชกิจต่อมวลชนซึ่งกินเวลาสามปีด้วยกัน สิ่งนี้ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ พระองค์เป็นผู้ที่มีความเมตตา และเราก็ได้รับการบอกเล่าว่า “ประชาชนทั่วไปก็ฟังพระองค์ด้วยความยินดี” และ “พระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ของเขาไม่” ( มัทธิว7:29)

ชีวิตของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่?

ไม่นานนักสิ่งที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับพระองค์เองก็เริ่มชัดเจนขึ้น คำตรัสเหล่านั้นทำให้คนฉงนสนเท่ห์และตระหนกตกใจ พระองค์ทรงเริ่มที่จะแสดงว่าพระองค์เองทรงเป็นผู้ใด มากยิ่งกว่าพวกอาจารย์ที่มีชื่อเสียงและผู้พยากรณ์ได้เคยทำ ทรงเริ่มตรัสถึงพระองค์เองอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ทรงกระทำให้คำกล่าวนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางแห่งการสั่งสอนของพระองค์ คำถามสำคัญยิ่งที่ทรงถามผู้ที่ติดตามพระองค์ คือ “ท่านล่ะ ว่าเราเป็นผู้ใด?” เมื่อเปโตรตอบว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” ( มัทธิว 16:15-16) พระเยซูมิได้ทรงแปลกพระทัยหรือกล่าวตำหนิเขา แต่กลับทรงให้ความมั่นใจแก่เปโตรว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้องแล้ว

พระองค์ทรงพูดสิ่งที่พระองค์กล่าวอ้างอย่างชัดเจน และผู้ที่ฟังพระองค์ก็เข้าใจในความหมายของคำกล่าวอ้างนั้นอย่างชัดแจ้ง เราได้รับการบอกเล่าว่า “พวกยิวยิ่งแสวงโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ มิใช่เพราะพระองค์ล่วงกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังได้เรียกพระเจ้าว่าเป็นบิดาของตนด้วย ซึ่งเป็นการกระทำตนเสมอกับพระเจ้า” ( ยอห์น 5:18)

อีกคราวหนึ่งพระองค์ตรัสว่า “เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” พวกยิวต้องการที่จะขว้างพระองค์ด้วยก้อนหินให้ตาย ในทันทีที่ทรงกล่าวเสร็จ พระองค์ทรงถามพวกเขาว่า เพราะการดีอันใดเล่าที่พวกเขาอยากจะฆ่าพระองค์ พวกเขาตอบว่า “เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” (ยอห์น10:33)

พระเยซูทรงกล่าวอ้างอย่างชัดเจนถึงพระลักษณะเฉพาะซึ่งมีในพระเจ้าเท่านั้น เมื่อคนง่อยถูกหย่อนลงมาทางหลังคาตึก เขาต้องการที่จะให้พระองค์ทรงรักษาเขา พระองค์ตรัสว่า “ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” สิ่งนี้เป็นเหตุให้พวกผู้นำทางศาสนาเดือดร้อนใจเป็นอย่างมาก พวกเขาพูดอยู่ในใจของตนว่า “เหตุใดชายคนนี้จึงพูดเช่นนั้น เขากำลังหมิ่นประมาทพระเจ้า ใครจะยกโทษบาปให้คนอื่นได้ เว้นไว้แต่พระเจ้าเท่านั้น?”

เมื่อมาถึงจุดวิกฤตซึ่งชีวิตของพระองค์ อยู่ในความเป็นความตาย มหาปุโรหิตได้ถามพระองค์ตรงๆว่า “ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ควรแก่การนมัสการหรือ?”

พระเยซูทรงตอบว่า “เราเป็น และท่านจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาของผู้ทรงฤทธานุภาพและเสด็จมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”

มหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า “เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า เราทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว” ( มาระโก14:61-64)

พระองค์ทรงมีสัมพันธภาพกับพระเจ้าอย่างแน่นแฟ้น ทำให้พระองค์ทรงมองดูทัศนคติของคนใดคนหนึ่งที่มีต่อพระองค์เท่าเทียมกับทัศนคติของเขาที่มีต่อพระเจ้าเลยทีเดียว ดังนั้นการรู้จักกับพระองค์ก็คือการรู้จักกับพระเจ้า (ยอห์น8:19;14:7) การเห็นพระองค์คือการเห็นพระเจ้า (ยอห์น 12:45;14:9) การเชื่อในพระองค์ก็คือการเชื่อในพระเจ้า (ยอห์น12:44;14:1) การที่จะรับพระองค์คือการรับพระเจ้า(ยอห์น15:23) และการถวายพระเกียรติแด่พระองค์ก็คือการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า(ยอห์น5:23)

การเชื่อในพระเยซูคริสต์ - ไม่ไร้เหตุผล

“เมื่อเราดูการกล่าวอ้างของพระคริสต์ มันมีความเป็นไปได้อยู่ สี่อย่าง นั่นก็คือ พระองค์ทรงเป็นจอมลวงโลก คนเสียสติ บุคคลในตำนาน หรือ ทรงเป็นความจริง”

เมื่อดูการกล่าวอ้างของพระคริสต์แล้ว มันมีความเป็นไปได้อยู่ สี่อย่าง นั่นก็คือ พระองค์ทรงเป็น จอมลวงโลก คนเสียสติ บุคคลในตำนาน หรือทรงเป็นความจริง ถ้าเราบอกว่าสิ่งที่ทรงกล่าวอ้างนั้นไม่เป็นความจริง ก็กลายเป็นว่า เรารับรองทางเลือกทั้งสามทางก่อนหน้านั้น โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าเราจะตระหนักถึงมันหรือไม่ก็ตาม

(1) จอมลวงโลก ความเป็นไปได้ที่ว่าพระเยซูโกหกเมื่อกล่าวว่าทรงเป็นพระเจ้า นั่นหมายถึง พระองค์ทรงทราบว่าพระองค์มิใช่พระเจ้า แต่ล่อลวงผู้ฟังของพระองค์โดยเจตนา เพื่อจะทำให้คำสั่งสอนของพระองค์มีสิทธิอำนาจ แต่มีคนน้อยมากหรืออาจจะไม่มีใครเลยที่ยึดความเห็นนี้อย่างจริงจัง ถึงคนเหล่านั้นที่ปฏิเสธการเป็นพระเจ้าของพระเยซู พวกเขาก็ยังรับรองว่าพระองค์ทรงเป็นครูสอนศีลธรรมที่เยี่ยมยอด เขาเหล่านั้นมาถึงจุดที่ต้องตระหนักว่า ความเห็นสองอย่างข้างต้นนั้นมีความขัดแย้งกันเอง พระเยซูทรงอ้างว่าเป็นพระเจ้าซึ่งเป็นจุดสำคัญแห่งการสั่งสอนของพระองค์ หากคำกล่าวอ้างนั้นไม่ใช่ความจริง พระองค์ก็ทรงเป็นจอมโกหกนั่นเอง

(2) คนเสียสติ ความเป็นไปได้ที่ดูเหมือนจะนุ่มนวลกว่าแต่ก็ยังคงน่าตกใจอยู่ดี นั่นก็คือ พระองค์จริงใจเมื่อตรัสว่าทรงเป็นพระเจ้า แต่ทรงหลอกลวงตนเอง ชื่อที่เรียกกันในสมัยนี้สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าคือ คนเสียสติ และด้วยชื่อนี้เราก็สามารถใช้เรียกพระเยซูได้เช่นเดียวกัน หากว่าพระองค์ทรงหลอกลวงตนเองด้วยคำกล่าวที่สำคัญเช่นนี้ แต่เมื่อเรามองดูที่ชีวิตของพระเยซูแล้ว เราไม่เห็นหลักฐานอันใดที่บ่งบอกถึงความไม่ปกติ หรือไม่สมดุลในชีวิตของพระองค์ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเราสามารถหาพบได้ในคนที่สติฟั่นเฟือน ในทางตรงกันข้ามเรากลับพบสภาวะทางอารมณ์ที่สงบอย่างยอดเยี่ยมแม้ในภาวะที่ถูกกดดัน

(3) บุคคลในตำนาน ทางเลือกที่สามคือ การกล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้าของพระเยซู เป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น นี่คือการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น พวกผู้ติดตามที่กระตือรือล้นของพระองค์ในศตวรรษที่สามและสี่ ได้อ้างคำตรัสของพระเยซูที่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ถ้าหากพระเยซูทรงได้ยินสิ่งที่พวกสาวกได้อ้าง พระองค์คงจะทรงตกพระทัย และหากพระองค์เสด็จกลับมา ก็คงจะปฏิเสธว่ามิได้ทรงกล่าวเช่นนั้น

ทฤษฎีในเรื่องของการเป็นแค่ตำนานนั้นได้รับการปฏิเสธอย่างชัดเจน จากการค้นพบต่างๆทางโบราณคดีสมัยใหม่ ชี้ให้เห็นข้อสรุปที่ว่า หนังสือชีวประวัติของพระคริสต์ทั้งสี่เล่ม ถูกเขียนขึ้นภายในช่วงชีวิตของพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ในสมัยของพระเยซูคริสต์ทั้งสิ้น มีครั้งหนึ่ง ดร. วิลเลี่ยม เอฟ ออลไบรท์ ผู้ซึ่งเป็นนักโบราณคดีที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตอนนี้เกษียณอายุจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮ๊อบกิ้นแล้ว ท่านได้กล่าวว่า ไม่มีเหตุผลใดที่ควรจะเชื่อว่า พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ทั้งสี่เล่มถูกเขียนขึ้นช้ากว่าปี ค.ศ70 ถ้าหากตำนานเรื่องพระคริสต์ที่ถูกเขียนขึ้นในรูปแบบพระกิตติคุณ ไม่มีพื้นฐานแห่งความจริงแม้สักนิด แต่เรื่องนี้มีการแพร่กระจายหมุนเวียนอย่างกว้างขวาง และมีอิทธิพลต่อผู้คนอย่างที่มันมีแล้วละก็ ตำนานเรื่องนี้ก็มหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ

ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ ก็จะยอดเยี่ยมมาก มันเหมือนกับการที่มีใครสักคนเขียนอัตชีวประวัติของ จอห์น เอฟ เคเนดี้ แล้วในนั้นก็เขียน การที่เขากล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้า ยกโทษความผิดบาปของผู้คน และที่เป็นขึ้นมาจากความตาย เรื่องราวประเภทนี้เป็นเรื่องแบบหลุดโลก มันจะไม่มีทางเป็นที่นิยมขึ้นมาได้ เพราะในปัจจุบันยังมีคนเป็นจำนวนมากมายที่รู้จักเคเนดี้อยู่ ทฤษฏีเรื่องตำนานนี้ ไม่มีน้ำหนักที่น่าเชื่อถือ เมื่อพิจารณาในแง่ของวันเวลาที่เขียนต้นฉบับของพระกิตติคุณ ว่ามันใกล้เคียงกับเวลาของการเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นมากเพียงไร

(4) ทรงเป็นความจริง ทางเลือกอีกทางเดียวก็คือการเชื่อว่าพระเยซูทรงพูดความจริง อย่างไรก็ตาม จากทัศนะหนึ่ง เห็นว่า การกล่าวอ้างไม่มีความหมายอะไรมากนัก การเพียงแค่พูดเป็นสิ่งที่ด้อยค่า ใครๆก็สามารถที่จะกล่าวอ้างอะไรก็ได้ มีคนอื่นๆเช่นกันที่กล่าวอ้าวว่าตนเองเป็นพระเจ้า ทั้งคุณและผมก็สามารถกล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้าได้ แต่คำถามที่เราทุกคนต้องตอบก็คือ “เราเอาความน่าเชื่อถือที่ไหนมาสนับสนุนคำกล่าวอ้างของเรา?” ในกรณีของผม คุณคงใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำในการพิสูจน์คำกล่าวอ้างของผมว่าไม่เป็นความจริง และในการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างของคุณก็คงไม่ได้ใช้เวลามากมาย กว่าของผมมากนัก แต่เมื่อมาถึงการกล่าวอ้างของพระเยซูชาวนาซาเร็ธ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พระองค์ทรงมีความน่าเชื่อถือ ที่มาสนับสนุนคำกล่าวอ้างของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “แม้ว่าท่านมิได้วางใจในเรา ก็จงวางใจเพราะพระราชกิจ( อัศจรรย์- ผู้แปล)นั้นเถิด เพื่อท่านจะได้รู้และเข้าใจว่าพระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” (ยอห์น10:38)

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือ? มีบางอย่างที่น่าพิจารณา

ประการแรก คุณสมบัติทางศีลธรรมของพระองค์สอดคล้องกับคำกล่าวอ้างของพระองค์ คนบ้าที่อยู่ในโรงพยาบาลจำนวนมากอ้างว่าเขาเป็นพวกที่มีชื่อเสียงหรือเป็นพวกพระพวกเจ้า แต่การกล่าวอ้างของพวกเขาเหล่านั้นขัดแย้งกับคุณสมบัติของพวกเขาเอง แต่ ไม่ใช่กับพระคริสต์ พระองค์ทรงเป็นเอกลักษณ์ ทรงมีลักษณะเฉพาะตัวเท่าเทียมกับพระเจ้า

พระเยซูทรงปราศจากบาป สิ่งนี้สำคัญในชีวิตของพระองค์ ทำให้พระองค์ทรงสามารถที่จะท้าทายพวกศัตรูของพระองค์ด้วยคำถามที่ว่า “มีผู้ใดในพวกท่านหรือ ที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำผิด?” (ยอห์น8:46) เมื่อพระองค์ถามก็มีแต่ความเงียบ แม้เมื่อทรงกล่าวกับผู้ที่อยากจะชี้ให้เห็นความบกพร่องในคุณสมบัติของพระองค์ก็ตาม

เมื่อเราอ่านตอนการทดลองของพระเยซู เราก็ไม่เคยได้ยินถึงการสารภาพความบาปในส่วนของพระองค์เลย พระองค์ไม่เคยทูลขอการอภัยโทษบาป แม้ว่าพระองค์จะทรงสอนพวกผู้ติดตามของพระองค์ให้กระทำเช่นนั้นก็ตามที

น่าประหลาดใจในความจริงที่ว่า เราไม่สามารถหาความผิดพลาดด้านศีลธรรมของพระเยซูได้เลย ซึ่งมันช่างตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับประสบการณ์ของพวกนักบุญและพวกผู้วิเศษในทุกยุคทุกสมัย ยิ่งคนเราได้เข้าใกล้พระเจ้ามากเท่าไหร่ การรับรู้เกี่ยวกับความล้มเหลว ความชั่วความทุจริต และข้อบกพร่องต่างๆของพวกเขาก็ท่วมท้นเขามากเท่านั้น การที่คนๆหนึ่งได้เข้าใกล้แสงสว่างมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งตระหนักว่าเขาต้องการการชำระล้างมากเท่านั้น นี่คือความจริงในโลกของศีลธรรมสำหรับเราผู้มีชีวิตที่ไม่ยั่งยืนด้วยเช่นเดียวกัน

น่าประทับใจที่ว่า ยอห์น เปาโลและเปโตร (ซึ่งได้รับการอบรมสั่งสอนตั้งแต่เป็นเด็กมาให้เชื่อในการมีอยู่ทุกที่ทุกแห่งของความบาป พวกเขาทั้งหมดต่างก็พูดถึงการที่พระคริสต์ทรงปราศจากบาป “พระองค์ไม่ได้กระทำบาปเลย และไม่ได้ตรัสคำเท็จเลย” (1เปโตร2:22)

ปีลาต ซึ่งไม่ใช่มิตรของพระเยซูเลย กล่าวว่า “ชายคนนี้ได้ทำความผิดอะไร?” เขารับรู้เป็นนัยๆถึงการที่พระเยซูทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ และนายร้อยชาวโรมที่ยืนอยู่และเห็นการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์กล่าวว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า” (มัทธิว27:54)

ประการที่สอง พระเยซูทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจเหนือพลังในธรรมชาติ ซึ่งฤทธิ์อำนาจนั้นเป็นของพระเจ้าแต่เพียงเท่านั้น เพราะพระองค์คือผู้สร้างสรร พลังเหล่านั้น

พระองค์ทรงกระทำให้พายุและคลื่นที่พัดกระหน่ำอย่างรุนแรงที่ทะเลสาปกาลิลีสงบลงได้ การกระทำเช่นนั้น ได้ก่อให้เกิดคำถามด้วยความประหลาดใจและความยำเกรง จากเขาเหล่านั้นที่อยู่ในเรือว่า “ท่านนี้เป็นผู้ใดหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน” (มาระโก4:41) พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น ทรงเลี้ยงคน5000 คนด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว ให้บุตรชายเพียงคนเดียวของหญิงม่ายฟื้นคืนชีวิตขึ้นอีกครั้งจากความตาย และนำชีวิตกลับมาสู่บุตรสาวของบิดาผู้หัวใจสลาย และกับเพื่อนเก่าของพระองค์ตรัสว่า “ลาซารัส เอ๋ย จงออกมา และทรงชุบให้เขาเป็นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ในการที่ศัตรูของพระองค์ไม่ได้ปฎิเสธ การอัศจรรย์เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีความหมายสำคัญอย่างที่สุด พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธแต่ได้พยายามที่จะสังหารพระองค์ เขากล่าวว่า “ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ คนทั้งปวงจะเชื่อถือเขา และพวกโรมก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา” (ยอห์น11:48)

ประการที่สาม พระเยซูทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระผู้สร้างเหนือความเจ็บป่วยและโรคภัยไข้เจ็บ พระองค์ทรงทำให้คนง่อยเดินได้ คนไบ้พูดได้ คนตาบอดเห็นได้ ในการทรงรักษาของพระองค์บางครั้งก็เป็นปัญหาที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ไม่ใช่การรักษาโรคที่เกิดจากการคิดและทางจิตใจ เรื่องที่โดดเด่นก็คือเรื่องของคนตาบอดซึ่งถูกบันทึกไว้ในพระธรรมยอห์นบทที่ 9 แม้ว่าชายคนนั้นไม่สามารถที่จะตอบคำถามของกลุ่มคน ที่อยากรู้เห็นเหล่านั้นได้ ประสบการณ์ของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้เขามีความสำนึกได้ “เขาตอบว่า สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบก็คือว่าข้าพเจ้าเคยตาบอดแต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว” เขาประหลาดใจที่เพื่อนของเขาไม่ยอมรับรู้ว่าผู้ที่รักษาเขา ผู้นี้ก็คือ พระบุตรของพระเจ้า “ไม่เคยมีใครได้ยินว่า มีผู้ใดที่ทำให้ตาคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้”(ยอห์น9:25,32) สำหรับเขาแล้วหลักฐานมันชัดเจนอยู่แล้ว

ประการที่สี่ ความน่าเชื่อถือสูงสุด ซึ่งรับรองความจริงในการกล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้าของพระเยซู ก็คือ การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ ในช่วงชีวิตของพระองค์ พระเยซูได้ทรงทำนายถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ถึงห้าครั้ง พระองค์ยังได้ทรงทำนายว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร และที่พระองค์จะเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม จะทรงปรากฎแก่สาวกของพระองค์

แน่นอนว่ามันเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ เป็นการกล่าวอ้างที่ง่ายต่อการพิสูจน์ นั่นคือมันได้เกิดขึ้นหรือไม่ได้เกิดขึ้น

ทั้งคนที่เป็นมิตรและศัตรูของความเชื่อของคริสเตียน ต่างก็ยอมรับว่า การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์นั้นเป็นศิลาที่วางรากฐานความเชื่อของคริสเตียนเลยทีเดียว เปาโลผู้เป็นอัครทูตที่ยิ่งใหญ่เขียนเอาไว้ว่า “ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา คำเทศนาของเราก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วย” (1โครินธ์15:14) เปาโลได้วางความเชื่อของท่านไว้ที่การฟื้นขึ้นมาฝ่ายร่างกายของพระคริสต์ ไม่ว่าพระองค์จะฟื้นขึ้นจากความตายหรือว่าไม่ได้ฟื้น หากพระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจริงๆ สิ่งนี้ก็เป็นเหตุการณ์ที่ประเสริฐที่สุดในประวัติศาสตร์ทุกยุคสมัยเลยทีเดียว

พระเจ้าไม่ได้ขอให้เราเชื่อแบบไร้เหตุผล

ถ้าหากว่าพระคริสต์ทรงฟื้นขึ้นมา เราก็จะรู้แน่แก่ใจได้ว่า พระเจ้านั้นทรงดำรงอยู่จริง พระองค์ทรงเป็นอย่างไร และเราจะรู้จักพระองค์ด้วยประสบการณ์ส่วนตัวได้อย่างไร จักรวาลมีความหมายและเป้าหมายของมัน และก็เป็นไปได้ที่เราจะมีประสบการณ์กับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ในชีวิตบนโลกนี้ของเรา

“การเพียงแค่พูด เป็นสิ่งที่ด้อยค่า ใครๆก็สามารถที่จะกล่าวอ้าง อะไรก็ได้ แต่เมื่อมาถึงการกล่าวอ้างของ พระเยซูชาวนาซาเร็ธ... พระองค์ทรงมีความน่าเชื่อถือ ที่มาสนับสนุน คำกล่าวอ้างของพระองค์”

ในทางกลับกัน ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เรื่องราวของคริสเตียนก็จะเป็นเพียงแค่ของเก่าที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง เท่านั้น ไม่ใช่อย่างอื่นเลย มันขาดหลักฐานหรือความเป็นจริง ทางรูปธรรม แม้ว่ามันจะเป็นความคิดที่ดูดีมีความหวัง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การลงทุนลงแรงอะไรเลย ผู้ที่ยอมทนทุกข์เพื่อความเชื่อคริสเตียนซึ่งเดินร้องเพลงเข้าไปหาสิงโต และพวกมิชชันนารีในหลายยุคสมัยผู้ซึ่งเอาชีวิตของพวกเขาไปทิ้งที่ เอกวาดอร์และคองโกเพื่อนำเรื่องราวของพระคริสต์นี้ไปสู่กลุ่มชนที่นั่น ก็คงเป็นเพียงกลุ่มของคนโง่ที่ถูกหลอกลวงผู้น่าสงสารเป็นแน่แท้

พวกศัตรูของคริสเตียนมักโจมตีในเรื่องความเชื่อของคริสเตียนโดยมุ่งเป้าหมายไปที่ การฟื้นพระชนม์บ่อยที่สุด เพราะว่าเหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราวเลยทีเดียว การโจมตีครั้งที่น่าจดจำครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในราวต้นๆของช่วงปี1930- 1939 โดยทนายความชาวอังกฤษคนหนึ่ง เขามั่นใจว่าเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์นั้นเป็นเรื่องนิทานและเรื่องเพ้อฝันธรรมดาเท่านั้น เขารู้ว่าสิ่งนี้เป็นรากฐานความเชื่อของคริสเตียน เขาตัดสินใจว่าจะช่วยโลกด้วยการเปิดโปงการหลอกลวงและการเชื่อถือโชคลางนี้เสียที ในฐานะที่เขาเป็นทนายความ เขารู้สึกว่าตนเองมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์เพื่อคัดกรองหลักฐานอย่างเข้มงวด และไม่นำเสนอหลักฐานอันใดที่จะไม่เป็นที่ยอมรับในศาล สำหรับการพิจารณาคดีความในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามขณะที่ แฟรงค์ มอริสสัน กำลังทำการค้นคว้าอยู่นั้น มีสิ่งที่น่าทึ่งเกิดขึ้น คดีนี้ไม่ง่ายอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ ผลที่ตามมาก็คือ หนังสือที่มีชื่อว่า “Who moved the stone?”(ใครเป็นคนเคลื่อนก้อนหิน?) ได้ถือกำเนิดขึ้น และมีบทแรกที่ใช้ชื่อว่า “The Book that Refused to be written” ( หนังสือที่ไม่อยากให้เขียน) ในนั้นเขาได้อธิบายว่ามันเป็นอย่างไร คือ เมื่อเขาตรวจสอบหลักฐานต่างๆ เขารู้สึกถูกชักจูงให้ไปคนละทางกับความตั้งใจเดิมของเขา ในเรื่องของการฟื้นขึ้นจากความตายฝ่ายร่างกายของพระคริสต์

การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เป็นการประหารชีวิตบนกางเขนต่อหน้าฝูงชน ทางการแจ้งว่าเป็นการลงโทษเพราะการหมิ่นประมาท พระเยซูบอกว่าเพื่อเป็นค่าไถ่ความบาปของเรา หลังจากที่ถูกทรมานอย่างสาหัส ข้อมือและเท้าของพระองค์ถูกตรึงที่กางเขน ทรงถูกแขวนเอาไว้บนนั้น และต่อมาก็สิ้นพระชนม์ด้วยการขาดอากาศหายใจอย่างช้าๆ ดาบถูกแทงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์ก็เพื่อจะยืนยันว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้วจริงๆ

หลังจากนั้นร่างของพระเยซูก็ถูกห่อด้วยผ้าลินินซึ่งมีเครื่องเทศที่คล้ายยางเหนียวหนักประมาณ 100 ปอนด์ (ประมาณ54 กิโลกรัม-ผู้แปล) ห่อหุ้มอยู่ พระศพของพระองค์ถูกวางเอาไว้ในอุโมงค์หินตันๆ และมีหินก้อนใหญ่ที่หนักประมาณ 1.5-2 ตัน กลิ้งปิดปากอุโมงค์ด้วยเครื่องงัดเพื่อความแน่นหนา และเพราะว่าพระเยซูได้ตรัสอย่างเปิดเผยว่าพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในสามวัน พวกทหารโรมที่ได้รับการฝึกฝน จึงถูกส่งมาประจำที่หน้าอุโมงค์ฝังพระศพ และมีการติดตราประทับที่เป็นทางการของโรม ตรงทางเข้า เพื่อจะประกาศว่าที่นั่นคือสมบัติของโรม

ถึงแม้จะมีการกระทำสิ่งดังกล่าวข้างต้นแล้วก็ตาม สามวันต่อมา พระศพของพระเยซูก็หายไป มีเพียงแค่ผ้าลินินที่ห่อหุ้มพระศพเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ในอุโมงค์ซึ่งเป็นรูปร่างคนแต่ไม่มีคนในนั้น แผ่นหินขนาดใหญ่ที่ปิดปากอุโมงค์ก่อนหน้านั้นถูกพบที่ทางลาดขึ้น ระยะห่างจากอุโมงค์นั้นพอสมควร

เรื่องการคืนพระชนม์ของพระยซูเป็นเพียงเรื่องราวในตำนานเท่านั้นหรือ?

การอธิบายแรกสุดที่แพร่กระจายออกไปคือ พวกสาวกมาขโมยพระศพไป ในมัทธิว28:11-15 มีการบันทึกถึงปฏิกิริยาของมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ เมื่อพวกทหารยามมาแจ้งข่าวที่น่าโมโหและลึกลับ ว่าพระศพหายไป พวกเขาได้ให้เงินพวกทหารยามไป และสั่งให้ทหารยามบอกว่าพวกสาวกมาในตอนกลางคืนขณะเมื่อพวกเขากำลังหลับและขโมยพระศพไป เรื่องราวตอนนี้มันผิดเสียจนท่านมัทธิวไม่ได้ใส่ใจที่จะปฏิเสธมัน ลองคิดดูว่า ผู้พิพากษาจะพูดอย่างไร ถ้าคุณบอกว่าขณะที่คุณกำลังหลับอยู่ คุณรู้ว่าเป็นเพื่อนบ้านของคุณที่เข้ามาที่บ้าน และขโมยชุดเครื่องเล่นโทรทัศน์ของคุณไป? ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อตัวเองกำลังหลับอยู่? ถ้าหากให้การในศาลแห่งใดก็ตามด้วยคำพยานแบบนี้ ก็จะถูกคนหัวเราะไปเท่านั้น

สาวกแต่ละคน ต้องพบกับการทดสอบในเรื่องนี้ โดยถูกทรมานและต้องตายเพื่อสิ่งที่พวกเขายืนยันด้วยคำพูดและเพื่อความเชื่อของพวกเขา ผู้คนจะยอมตายเพื่อสื่งที่เขาเชื่อว่ามันเป็นความจริง ถึงแม้มันอาจจะผิดก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามเขาจะไม่ยอมตายเพื่อสิ่งที่เขารู้ว่ามันคือการโกหกแน่ ถ้าจะมีใครสักคนที่จะพูดความจริง นั่นคงจะเป็นตอนที่เขากำลังจะตาย และถ้าหากพวกสาวกได้เอาพระศพไป พระคริสต์ยังคงเป็นคนตายอยู่ เราก็ยังคงมีปัญหาในการอธิบายการปรากฎพระกายของพระคริสต์อีกอย่างแน่นอน

สมมติฐานที่สองก็คือ พวกผู้ปกครอง ชาวยิวหริอพวกโรม เคลื่อนย้ายพระศพ แต่ว่าเขาจะทำไปทำไมกัน? ในเมื่อมีการวางทหารยามไว้ที่หน้าอุโมงค์ แล้วพวกเขามีเหตุผลอะไรในการเคลื่อนย้ายพระศพ? และอีกอย่างก็คือ เมื่อพวกอัครทูตเทศนาอย่างกล้าหาญถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ในกรุงเยรูซาเล็มนั้น อะไรทำให้พวกผู้ปกครองสามารถนิ่งเฉยอยู่ได้? พวกผู้นำทางศาสนา เป็นเดือดเป็นแค้น และทำทุกวิถีทางที่ทำได้ ในการป้องกันไม่ให้ข่าวเรื่องการคืนพระชนม์จากความตายของพระคริสต์แพร่ออกไป พวกเขา ได้จับเปโตร และยอห์นมาโบยตีและขู่พวกเขา ด้วยความต้องการที่จะให้เขาทั้งสองปิดปากของเขาเสียนั่นเอง

แต่มีทางแก้ไขที่ง่ายๆสำหรับปัญหานี้ คือว่าถ้าพวกเขามีพระศพของพระคริสต์ ก็ทำเพียงแค่แห่พระศพและเดินขบวนกันไปตามถนนในกรุงเยรูซาเล็มเท่านั้น ด้วยการจู่โจมอย่างเฉียบพลันเช่นนี้ พวกเขาก็จะสามารถขจัดความเชื่อคริสเตียนออกไปได้สำเร็จ การที่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเป็นคำพยานที่ชัดเจนน่าเชื่อถือว่าพวกเขาไม่ได้มีพระศพนั่นเอง

ทฤษฎีที่ค่อนข้างได้รับความนิยมอีกทฤษฎีหนึ่งก็คือพวกผู้หญิงซึ่งมีจิตใจที่ว้าวุ่นและมีความทุกข์โศกอย่างหนัก เดินหลงทางในความขมุกขมัวยามเช้ามืดและไปที่อุโมงค์อื่น ในความเศร้าโศกเสียใจนั้นก็จินตนาการว่าพระคริสต์ได้ทรงฟื้นขึ้นมาเพราะเห็นว่าอุโมงค์นั้นว่างเปล่า อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ล้มเหลวด้วยความจริงอันเดียวกันที่ได้ทำลายทฤษฎีก่อนหน้านั้นไป คือถ้าหากพวกผู้หญิงไปยังอุโมงค์อื่น(ผิดที่) ทำไมพวกมหาปุโรหิตและศัตรูคนอื่นๆไม่ไปที่อุโมงค์จริงที่วางพระศพ แล้วเอาพระศพออกมายืนยันเล่า? ยิ่งกว่านั้นอีก มันไม่น่าเชื่อว่า เปโตรและยอห์นก็ทำสิ่งทิ่ผิดพลาดเช่นเดียวกันกับผู้หญิงเหล่านั้น และที่แน่นอน เจ้าของอุโมงค์ที่ชื่อโยเซฟ ชาวอาริมาเธียก็จะแก้ปัญหาอันนี้ได้ ข้อโต้แย้งยังมีอีกว่าอุโมงค์ดังกล่าวนี้เป็นที่ฝังศพส่วนบุคคลไม่ใช่สุสานสาธารณะ และในละแวกใกล้ๆกันนั้นก็ไม่มีอุโมงค์อื่นใดอีก ที่อาจเป็นเหตุทำให้เขาไปผิดที่ได้

ทฤษฎีที่ว่า พระเยซูแค่สลบไปเท่านั้นก็เป็นอีกชิ้นหนึ่งที่นำมาอธิบายเรื่องอุโมงค์ที่ว่างเปล่า ในทัศนะนี้เห็นว่า พระคริสต์ไม่ได้ทรงสิ้นพระชนม์ มีการรายงานผิดพลาดที่บอกว่าพระองค์สิ้นชีวิตแล้ว แต่พระองค์แค่ทรงสลบไปจากความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด และการสูญเสียโลหิต เมื่อพระองค์ได้สัมผัสกับความเย็นในอุโมงค์ ก็ทรงกลับมีกำลังวังชาขึ้นอีกครั้ง พระองค์ทรงออกมาจากอุโมงค์และปรากฎพระองค์กับพวกสาวกผู้ซึ่งเข้าใจผิดว่า พระองค์นั้นทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

“ผู้คนจะยอมตายเพื่อสื่งที่เขาเชื่อว่ามันเป็น ความจริง ถึงแม้มันอาจจะผิดก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามเขาจะไม่ยอมตาย เพื่อสิ่งที่เขารู้ว่ามันคือการโกหกแน่”

นี่เป็นทฤษฎีการอธิบายแบบสมัยใหม่ มันปรากฎครั้งแรก เมื่อตอนปลายของศตวรรษที่สิบแปด เป็นสิ่งที่น่าสังเกตว่า ไม่มีการอธิบายลักษณะนี้ในสมัยโบราณ เมื่อครั้งที่มีการโจมตี ี ที่รุนแรง ต่อความเชื่อแบบคริสเตียน การบันทึกรุ่นแรกๆ ทั้งหมดค่อนข้างเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูอย่างเด่นชัด

แต่ขอให้เราสมมติสักครู่ว่า พระเยซูทรงถูกฝังขณะที่ยังทรงพระชนม์อยู่ และทรงสลบไป มันจะเป็นไปได้หรือที่จะเชื่อว่า พระองค์จะทรงมีกำลัง กลับมาใหม่ภายในช่วงเวลาแค่สามวันในอุโมงค์ชื้นๆ โดยปราศจาก อาหารหรือน้ำดื่มหรือแม้แต่คนที่มาดูแลสนใจอย่างใดอย่างหนึ่ง? พระเยซูจะทรงมีกำลังที่จะปลดปล่อยตนเองให้หลุดออกจากผ้าที่ห่อพันร่างกาย หรือที่จะผลักหินก้อนใหญ่ให้ออกจากปากอุโมงค์ หรือเอาชนะทหารยามของโรม และเดินแป็นกิโลๆ ด้วยเท้าที่ถูกตอกตะปู ได้อย่างไร? ความเชื่อเช่นนี้ดูจะมหัศจรรย์พันลึกยิ่งกว่าการที่จะเชื่อในความจริงง่ายๆของการเป็นขึ้นมาจากความตายเสียด้วยซ้ำไป

แม้แต่นักวิจารณ์ชาวเยอรมันที่ชื่อ เดวิด สเตราสส์ ซึ่งเขาเองไม่มีลักษณะของคนที่จะเชื่อในเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์เลย ยังปฏิเสธความคิดนี้ว่ามันมหัศจรรย์เกินไป เขากล่าวว่า

มันเป็นไปไม่ได้ที่คนๆหนึ่ง ซึ่งออกมาจากอุโมงค์ฝังศพแบบครึ่งเป็นครึ่งตาย คนผู้ซึ่งต้องคืบคลานไปอย่างอ่อนแอและป่วยไข้ คนผู้ซึ่งมีต้องการอย่างมากที่จะได้รับการรักษาทางการแพทย์ การพันบาดแผล การให้กำลังและการดูแลอย่างเอาใจใส่ และคนที่ท้ายสุดแล้วยอมอยู่ในความทุกข์ทรมาน จะสามารถทำให้พวกสาวกเชื่ออย่างจริงจังว่า พระองค์คือผู้ที่มีชัยชนะเหนือความตายและหลุมฝังศพ และที่ว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งชีวิต

และท้ายสุด หากทฤษฎีนี้มีความถูกต้อง พระคริสต์เองก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการโกหกที่โจ่งแจ้งเช่นนี้อย่าง แน่นอน เพราะพวกสาวกของพระองค์เชื่อ และเทศนาว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้วคืนพระชนม์ อีกครั้งหนึ่ง พระคริสต์ก็มิได้ทรงทำสิ่งใดที่จะขจัดความเชื่อนี้ออกไปแต่กลับทรงหนุนใจให้เขาเชื่อต่อไป

ทฤษฎีที่สามารถอธิบายเรื่องอุโมงค์ที่ว่างเปล่าได้ชัดเจนก็คือ การที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์จากความตายจริงๆเท่านั้น

แทนที่จะเป็นความเชื่อแบบไร้เหตุผล เป็นความสามารถที่จะรู้จักกับพระเจ้า

หากพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายเป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์คือพระจ้า พระองค์ก็ยังทรงพระชนม์อยู่ในวันนี้ พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะเป็นมากกว่าแค่ผู้ที่ได้รับการนมัสการ พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะเป็นที่รู้จัก และเข้ามาในชีวิตของเรา พระเยซูตรัสว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น”(วิวรณ์3:20)

ท่านคาร์ล กุสตาฟ จัง กล่าวว่า “ศูนย์กลางความปราถนาทางอารมณ์ ในเวลาของพวกเรา คือ ความว่างเปล่า” เราทุกคนมีความปรารถนาลึกๆ ที่ชีวิตของเราจะมีความหมายและความลึกล้ำ พระเยซูทรงเสนอชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น ความสัมพันธ์กับพระองค์นำมาซึ่งชีวิตที่ครบบริบูรณ์ พระเยซูตรัสว่า “เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์”(ยอห์น10:10)

เพราะว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ทรงรับเอาความผิดบาปของมวลมนุษยชาติทั้งสิ้นไว้ที่พระองค์แล้ว บัดนี้พระองค์ทรงเสนอการให้อภัยโทษบาป การยอมรับและความสัมพันธ์ที่จริงจังกับพระองค์เองแก่เรา

คุณสามารถเชิญพระเยซูคริสต์ให้เข้ามาในชีวิตของคุณได้เดี๋ยวนี้ คุณสามารถพูดกับพระองค์ด้วยคำพูดในทำนองนี้ว่า “พระเยซูเจ้าข้า ขอบคุณพระองค์ ที่ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อความบาปของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทูลขอที่พระองค์จะทรงอภัยโทษบาป ให้กับข้าพเจ้า และโปรดเสด็จเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ด้วยพระเจ้าข้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ให้ข้าพเจ้ามีความสัมพันธ์กับพระองค์”

หากคุณต้องการข้อมูลมากขึ้นหรือยังมีคำถามอื่นๆเกี่ยวกับพระเยซูคือใคร กรุณาอีเมลหาเรา

 ฉัน/ผมได้เชิญพระเยซูให้เข้ามาในชีวิต (มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ดังต่อไปนี้)
 ฉัน/ผม อาจจะอยากเชิญให้พระเยซูเข้ามาในชีวิต กรุณาอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้
 ฉัน/ผม มีคำถาม หรือ ความคิดเห็น

ดัดแปลงจาก Know Why You Believe (รู้ว่าทำไมผมจึงเชื่อ) โดย พอล อี ลิทเทิล จัดจำหน่ายโดยVictor Books สงวนลิขสิทธิ์ ปี1988 โดยSP Publications Inc. Wheaton, IL. 60187 นำมาใช้โดยได้รับอนุญาต


แชร์ต่อกับคนอื่น:
WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More